Wednesday, 15 October 2008

Darren Aronofsky






Director, Screenwriter
Gender: Male
Born: February 12, 1969
Birthplace: Brooklyn, New York
Nationality: American

Full Biography
From All Movie Guide: Darren Aronofsky secured a reputation as a brash, intelligent filmmaker at the age of 29, with Pi, his 1998 feature directorial and screenwriting debut. A dizzying black and white odyssey, it tells the story of a brilliant mathematician (Sean Gullette) driven by his conviction that higher mathematics can be used to unlock the secrets of the natural world. Claiming such disparate influences as Stanley Kubrick's A Clockwork Orange, the visual and editing style of Japan's Shinya Tsukamoto (Tokyo Fist, Tetsuo), Terry Gilliam's Brazil, Rod Serling, Philip K. Dick, the chaos theory, and the Jewish Kabbalah, Pi garnered Aronofsky the 1998 Sundance Festival's Directing Award for Dramatic Competition.

A self-described "Brooklyn hip-hop kid," Aronofsky was born in the borough on February 12, 1969. His upbringing was marked by his Jewish heritage (although in an interview he once disparagingly referred to himself as a "classically hypocritical high holiday Jew"), painting graffiti art on subway cars, and filmgoing in Times Square. An alumnus of the New York public school system, he attended Harvard, where he studied live action and animation and met future collaborator and Pi star Sean Gullette. He received international acclaim for his senior thesis film, Supermarket Sweep, which also starred Gullette, and went on to earn an MFA in Directing from the American Film Institute.


After the critical success of Pi, which Aronofsky made with $60,000 borrowed from family and friends and what must have been half of New York City's abandoned computer equipment, the maverick embarked on his next major project. Entitled Requiem for a Dream, and developed at the Sundance Lab, the picture stars Jared Leto as Harry Goldfarb, a heroin addict intent on pawning his mother's beloved TV as part of a scheme that will allow himself, his girlfriend (Jennifer Connelly), and his best friend (Marlon Wayans) to score more smack. While the trio sink helplessly into a whirlpool of addiction, Harry's mother, Sara (Ellen Burstyn) wins a spot on a game show, but nearly starves herself to death on diet pills and develops a serious dependency herself. Issued on October 6, 2000 Requiem drew critical raves from coast to coast from all but the most discerning of reviewers.


Meanwhile, Aronofsky worked on additional projects and pursued additional leads. In-between Pi and Requiem, he had co-authored (with David N. Twohy and Lucas Sussman) the screenplay to Below, a much more conventional screen vehicle. Aronofsky ducked out of the limelight for a few years, but made a return in 2006 with the much-delayed, much-hyped The Fountain, a mystical, reality-shifiting gloss on 2001. ~ Rebecca Flint Marx, All Movie Guide

Education
Institution - Harvard University
Location - Cambridge, MA
Major - anthropology, live action film, animation
Year range - 1991
Institution - Edward R Murrow High School
Location - Brooklyn, NY
Year range - 1987
Institution - American Film Institute
Location - Los Angeles, CA

Special Thanks : http://movies.nytimes.com/person/235045/Darren-Aronofsky/biography

Friday, 19 September 2008

ช่องว่างระหว่างวัยทำงาน



หนึ่งในสาเหตุของความเครียดในที่ทำงานคือ การที่คนหลายรุ่นหลายวัยหลายความคิด
ต้องมาทำงานร่วมกัน ความแตกต่าง ระหว่างเลขวัยที่สัมพันธ์กับเลขไมล์ของ
ประสบการณ์ มักนำมาซึ่งความไม่เข้าใจกัน..จนก่อตัวเป็นความขัดแย้ง

ในที่สุด บางทีความแตกต่าง คือ กุญแจแห่งความสำเร็จ เพียงขอเปิด ใจทำความรู้จักคนแต่ละรุ่นให้ลึกซึ้งก็จะได้พบ
โลกใบใหม่ที่งดงาม หลากหลาย และหากเลือกที่จะสื่อสารได้อย่างถูก ช่องถูกกลุ่ม ก็อาจจะได้อะไรใหม่ ๆ คาดไม่ถึง

ใครเป็นใครในที่ทำงาน เราจะแบ่งรุ่นของคนทำงานในที่ทำงานให้ชัดๆ ก่อน
โดย จำแนกจากช่วงปีเกิด ซึ่งจะสัมพันธ์กับประสบการณ์ในช่วงเติบโต
ทำให้เห็นยุคสมัยที่หล่อหลอมความคิดของพวกเขาได้ชัดเจนขึ้น

กลุ่มลายคราม : คนที่เกิดก่อนปี 2498
ลายคราม...ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งกรรมการที่ปรึกษา หรือ เป็นพนักงานวัยใกล้เกษียณ
คนกลุ่มนี้จะมีผู้คน นับหน้าถือตามากมาย
อันเนื่องมาจากประสบการณ์การทำงานอันยาวนาน
ของพวกเขานั่นเอง คนกลุ่มนี้จะเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะยุติ
จึงเติบโตมาท่ามกลางสภาพบ้านเมืองที่มีทรัพยากรที่จำกัด ทำให้รู้จักคุณค่าของเงิน
มักมีคุณลักษณะที่มั่นคง เชื่อใจได้ สู้งานหนัก
ใช้จ่ายอย่างรู้คิดและภักดีต่อองค์กรสูง

กลุ่ม Baby Boom :
คนที่เกิดช่วงปี 2499 – 2507
หลังสงครามยุติ ประเทศเข้าสู่ความสงบ
การรณรงค์คุมกำเนิดยังไม่แพร่หลาย จึงเกิดพลเมืองตัวน้อยๆ ขึ้นมากมาย
Baby Boom เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและแข่งขันกับคนวัยเดียวกันเพื่อให้ได้งาน
ยิ่งเมื่อประเทศกำลังพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ยุคความเป็นอุตสาหกรรม
Baby Boom ก็ยิ่งจำเป็นต้องทำ งานหนักมากขึ้น
เต็มเหยียดวันละ 8 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์

ลูกจ้าง Baby Boom มักเคยชินต่อการพิสูจน์ตัวเอง เพื่อให้นายจ้างยอมรับในศักยภาพ
การจะก้าวไปสู่ตำแหน่ง ใหญ่นั้น ต้องใช้เวลาและแรงผลักดันอย่างสูง

กลุ่ม Generation–X : คนที่เกิดช่วงปี 2508 – 2523
Generation–X ลืมตาดูโลกในช่วงเวลาที่มนุษยชาติส่งยานอวกาศออกไปนอกโลก ได้สำเร็จ
ของเล่นสุดฮิตของเด็กรุ่นจึงไม่ใช่ม้าโยก หรือตุ๊กตาหมีอีกต่อไป
แต่เป็นวิดีโอเกม เกมกด และWalkman พวกเขาเติบโตมาใน ยุครอยต่อของ Analog กับ Digital
อยู่ท่ามกลางเทคโนโลยีที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ ทว่าที่สังคมเปลี่ยนแปลงในทางวัตถุนี้
กลับทำให้ สถาบันครอบครัวสั่นคลอน ความภักดีต่อองค์กรของคนรุ่นนี้จึง คลายลงมาก
นำมาสู่การลาออกและเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น
ไม่แปลกที่ชาว Baby Boom ผู้ไม่เคยเกี่ยงที่จะทำโอทีจนดึกดื่นจะอึ้ง
ที่ชาว Generation–X ปฏิเสธการทำงานล่วงเวลา
หรือลาออกไปหางานใหม่หน้าตาเฉยหากไม่พอใจ
ทั้งนี้เพราะ Generation–X เชื่อว่างานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต


กลุ่ม Millennium : คนที่เกิดปี 2524 เป็นต้นมา
Millennium คือกลุ่มคนทำงานหน้าใหม่ไฟแรง แต่ยังอ่อนต่อประสบการณ์
บางคนอาจยังเรียนไม่จบเสียด้วยซ้ำ หรือบางคนมีแผนที่จะเรียนต่อ
ชาว Millennium โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ
รวมถึงระบบการศึกษาที่เริ่มให้ความสำคัญกับการคิดมากกว่าการท่องจำ
ชาว Millennium จะมีพ่อแม่ที่มีความรู้สูง จึงให้การสนับสนุนให้ Millennium
ได้เสริมทักษะด้านต่างๆ ตั้งแต่เด็ก ฉะนั้น Millennium จึงชอบแสดงออก
มีความเป็นตัวของตัวเองสูงและสนุกกับการทำงานเป็นทีมไม่ชอบอยู่ในกรอบ และไม่ชอบ เงื่อนไข
ในขณะนี้ ชาว Generation-X เปลี่ยนงานครั้งที่ 12 เพื่อ
เป็นผู้บริหารระดับสูงกินเงินเดือนเรือนแสน แต่ชาว Millennium จะลาออกไปเริ่มธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง


สลายช่องว่างสร้างความเข้าใจ เมื่อเข้าใจอย่างท่องแท้แล้วว่า
ใครมีค่านิยมในชีวิตอย่างไร ใคร ๆก็สามารถสร้างสะพานข้ามช่องว่าง เพื่อข้ามไปหากันได้

สูตรสร้างสะพานข้ามช่องว่าระหว่างวัยมีอยู่ 3 ขั้นตอน
1. เข้าใจถึงความแตกต่าง
ยอมรับว่าคนเราถูกหล่อหลอมมา ไม่เหมือนกัน คนที่มีความเชื่อหรือทัศนคติต่อชีวิตไม่เหมือนคุณ เขาไม่ใช่คนไม่ดีเสมอไป

2. ชื่นชมจุดดี
แทนที่จะต่อต้าน ให้เราลองมองหาจุดเด่นของคนในแต่ละกลุ่มให้พบ

3.บริหารความแตกต่าง
เปลี่ยนวิธีการสื่อสารให้เข้าถึงคนแต่ละกลุ่มที่เราต้องทำงานด้วย ทำงานกับกลุ่มลายคราม
จงให้เกียรติและให้ความเคารพอย่างสูงต่อพวกเขา
เมื่อคุณให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็จะให้เกียรติคุณ แล้วถ้าบังเอิญคุณมีตำแหน่งสูงกว่าพวกเขา
จงแสดงความชื่นชมต่อเขาในด้านการเป็นเสาหลักขององค์การ และจงรับฟังเมื่อพวกเขา
ถ่ายทอดประสบการณ์ในอดีต การต่อสู้ ความพากเพียรในการทำงานจนผ่านพ้นความยากลำบากมาได้
เพราะสิ่งนั้นคือ สิ่งที่คนรุ่นหลังไม่มี และไม่รู้จัก อย่ามองว่า..กลุ่มลายครามคือ หมาล่าเนื้อ ไม่มีที่ไป
แต่การที่พวกเขาทำงานอยู่จนถึงวัย เกษียณนั้น เป็น เพราะพวกเขาเชื่อในคุณค่าของความมั่นคง
และถือความซื่อสัตย์เป็นที่สุด


ทำงานกับกลุ่ม Baby Boom จงแสดงความนับถือ รับฟัง และเรียนรู้จากประสบการณ์ของBaby Boom
แล้วพยายามปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าคุณจะเก่งกาจแค่ไหน
หรือคุณจะประสบความสำเร็จเพียงใจ คุณก็ยังต้องเรียนรู้อยู่เสมอ
อย่าแสดงออกว่าการทำงานหนัก คือ การถูกเอาเปรียบ เพราะ Baby Boom
ให้ความสำคัญต่อหลักการทำงาน ยึดถือวัฒนธรรมองค์การและเห็นคุณค่าต่อการทำงานอย่างทุ่มเท
หากต้องทำงานในองค์กรใหญ่ๆ ที่มีประวัติศาสตร์ ยาวนาน ซึ่งบริหารงานโดย Baby Boom
ควรพยายาม เรียนรู้ วัฒนธรรมองค์กรเสียก่อนว่ามีการเจริญเติบโตมาอย่างไร ก่อน
ที่จะเสนอความคิดริเริ่มเพื่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ แก่ Baby Boom

ทำงานกับกลุ่ม Generation–X ต้องพูดให้กระชับ ชัดเจนและไม่อ้อมค้อม
เพราะGeneration–X ชอบความตรงไปตรงมา คุณสามารถใช้ Email กลับคนกลุ่มนี้ได้
หากคุณสามารถสื่อสารได้ใจความและตรงเป้าหมาย หากเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ควรพูดต่อหน้า
เพราะ Generation–X ไม่ชอบถูกบงการ ผู้ใหญ่แค่ให้นโยบายกว้างๆ
เปิดโอกาสให้เขาได้แก้ปัญหาเองจะดีที่สุด

ส่วน Baby Boom ควรลดความคาดหวังต่อ Generation–X
ในการทำงานหนักอย่างหนักโดยไม่มีวันหยุดหรือก้าวไปอย่างช้า ๆอย่างรุ่นตน
เพราะGeneration–X ต้องการชีวิตที่สมดุล ไม่ชอบการอยู่ติดที่

ทำงานกับกลุ่ม Millennium
ลองท้าทายพวกเขาด้วยภารกิจใหม่ๆ Millennium จะชอบ
ความเป็นคนสำคัญการเพิ่มความรับผิดชอบเสมือนการให้คำชม จงเปิดโอกาสให้ Millennium
ได้แสดงความคิดเห็นของเขาเห็นพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในทีม ผู้ใหญ่ที่ยอมรับความคิดเขา
ก็จะได้รับการยอมรับจากพวกเขาเช่นกัน Millennium
ชอบให้คุณแสดงออกต่อสิ่งที่พวกเขาทำทุกขณะจิต เพราะความรู้สึกและความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน
มีผลต่อพวกเขามาก

แค่เข้าใจ..ทุกอย่างก็ลงตัว

Monday, 15 September 2008

อย่าตัดสินความผิดของคนๆ นั้น เพียงแค่ คำตอบ ของเรา

เงินสิบบาท

ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร?

ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า 'ถ้ามีเงินอยู่10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร' เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า '7 บาท' แต่มีเด็ก 2คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น
คนหนึ่งตอบว่า '2 บาท'
อีกคนหนึ่งตอบว่า 'ไม่ต้องทอน'

ครูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน2 บาท คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขาสำหรับเงิน10 บาท คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้น จึงได้เงินทอน 2 บาท

ถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือเงินทอนเลย
คำตอบก็คือเด็กคนนี้คิดว่าในกระเป๋ามีเหรียญบาท10 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้3 เหรียญ เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา

โชคดีที่เป็นการถาม-ตอบในห้องเรียน ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง เด็ก 2 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่
การสร้างโจทย์ที่ 'เสมือนจริง' จินตนาการของ'ครู' อาจถูกจำกัดเพียงแค่ 'ตัวเลข' แต่สำหรับเด็ก จินตนาการของเขาไร้กรอบ 10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาท

เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก1 คำตอบ คือ ได้เงินทอน 1 บาท

โลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน โลกในห้องเรียน ทุกคำถามส่วนใหญ่มีเพียง1 คำตอบ แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน1 คำตอบ

'อย่าตัดสินความผิดของคนๆ นั้น เพียงแค่ คำตอบ ของเรา'

Wednesday, 10 September 2008

ปัญหาทุกอย่างเกิดจาก”ความกลัว”ครับ

สำหรับ BBY มองว่า ปัญหาทุกอย่างเกิดจาก”ความกลัว”ครับ....กลัวความคิดตัวจะผิด กลัวว่าจะถูกด่าถูกตำหนิ

กลัวว่าจะไม่ถูกใจแล้วจะถูกลดความสำคัญ..ทุกอย่างเป็นเพราะอยากให้งานสำเร็จกันทุกคนนั่นแหละ



ทั้งทั้งที่จริงๆแล้ว การสื่อสารที่ถูกต้อง คือ ONE BY ONE เช่น BBY มีเรื่องจะบอก 88 BBY ก็ต้องเดินไปบอก 88

...ถ้า BBY ฝากบุคคลที่สอง ที่สามไปบอก...มันก็ไม่ Success



ไม่รู้นะครับ..อันนี้ความคิดเห็นส่วนบุคคล อาจจะด้วย BBY ทำ Freelands มานานโข ก็เลยติดพฤติกรรมที่ว่า อยากให้ใครรู้อะไรก็ต้องบอก

ต้องถาม..หรือเดินไปบอก ณ เดี๋ยวนั้น ปัญหานั้นก็จะได้จบ จะได้มีข้อยุติ ทำให้บางครั้งก็ดูเหมือนจะข้ามขั้นตอนในระบบของการทำงานเป็นทีมไปบ้าง...ขอโทษคั๊บ!!



ในส่วนของการ Presents. ความคิดเห็นทั้งในที่ประชุมหรือการคุยกันสองสามคน บ่อยครั้งที่ BBY ก็ปล่อยไก่ตัวโตไป เพราะต้องการจะแสดงความคิดเห็นส่วนตัว

ให้ผู้อื่นได้ฟังบ้าง BBYไม่อยากจะมานั่งคิดกับตัวเองทีหลังว่า....โหว...ตอนนั้นทำไมเราไม่บอกคนอื่นไปนะว่ายังงั้น ยังงี้......แต่ BBY ก็ไม่ได้ก้าวร้าว หรือเถียงคำไม่ตกฟากนะครับ BBY นอบน้อม....ใครๆก็รู้

ดังนั้น...สำหรับข้อแก้ปัญหาวิธี แบบ BBY เองก็คือ.....อยากให้ทุกคนคิดว่าทุกคนมีดี..ไม่ได้อยากจะให้มั่นใจจนหลงตัวเองนะครับ แต่อยากให้มีความมั่นใจ

จนสามารถที่จะกล้าแย้งในส่วนที่คิดว่ามันไม่ใช่..ถึงสุดท้ายความคิดเราอาจจะเหลวแหลก เละเป๊ะที่สุด...อย่างน้อยทุกคนก็ได้รู้ว่าสมองเราคิดตาม ไม่ใช่นั่งสมองกลวงโบ๋เป็นนางงามเดินสาย

ให้ดีที่สุดก็ ขอยืมคำ P’POR มาใช้นะครับ ฟังมาเมื่อกี๊ “ สุดท้าย..การกลับมาเป็นตัวเราเองก็ดีที่สุด.....ยืนหยัดที่จะเป็นตัวเองดีกว่า” ..เพราะมันจะเป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นด้วยว่า นิสัยอย่างเราหน่ะ อยู่ในสังคมปกติได้ไหม๊...ก็เท่านั้น

ขอบคุณครับ

BBY

สิ่งที่ได้ทำในวันนี้

สิ่งที่ได้ทำในวันนี้



-เข้าประชุมงาน TOPS-Market_Pig เพื่อหารือกับลูกค้าเอเจนซี่ และรับฟังบรีฟจาก P’OD



-เข้าประชุมงาน Smooth E_Ann เพื่อฟังบรีฟจาก P’POR และฟังรายละเอียดการทำงานจากแผนกต่างๆ



-หา Ref. เครื่องแต่งกายของ แอน ทองประสมในรูปแบบต่างๆ เพื่อศึกษาว่า เธอมีรูปร่างอย่างไร และเหมาะกับ
เสื้อผ้ารูปแบบไหน เพื่อจัดหา Ref. เครื่องแต่งกายที่เหมาะสมกับตัวแอน และหนังโฆษณา

-หา Ref. เสื้อผ้าแบบต่างๆเพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับขายงานลูกค้า

-ช่วย P’BUM หาเสื้อผ้าและแหล่งของชุดนักอเมริกัน ฟุตบอล เพื่อ Setlook ทำเทสน์ในวันเสาร์-อาทิตย์

สิ่งที่ได้รับในวันนี้

-ได้รับทราบความเป้นไปของงานที่กำลังรันกันอยู่ เพื่อนำข้อมูลไปปรับในการทำงานต่อไป
หากมีข้อแนะนำ...ยินดีนะครับ

BBY

ออกกองงาน KCC GE Score โดยออกไปรอบหลังพร้อม พี่ NUJ

Working Report 04/09/08

สิ่งที่ได้ทำภายในวันนี้

1. หา reference งาน Tops Supermarket PIG เพิ่มเติม

2. ทำ PPM BOOK งาน KCC-GE_score ร่วมกับ KWG



Working Report 05/09/08

สิ่งที่ได้ทำภายในวันนี้

1. ทำ Breakdown งาน KCC ที่จะถ่ายทำ วันจันทร์ 8 ก.ย.

2. ลองออกแบบ สัตว์ประหลาด งาน Xylitol เพิ่มเติม โดยลองหา ref สัตว์ประหลาด แบคทีเรีย



Working Report 06/09/08

สิ่งที่ได้ทำภายในวันนี้

1. แก้ไขทำ Breakdown งาน KCC ให้เรียบร้อย เช่น แก้ไข Location ปั้มน้ำมันคาลเท็กซ์ และรายละเอียดอื่นๆ

2. ช่วย PIM หาแปลน ห้างเสรี เซ็นเตอร์ ซีคอนสแควร์ แผนที่

Working Report 08/09/08

สิ่งที่ได้ทำภายในวันนี้

1. ออกกองงาน KCC GE Score โดยออกไปรอบหลังพร้อม พี่ NUJ ไปเซ็ทฉากที่ MAJOR เซรีเซ็นเตอร์ โดยช่วยย้ายของจัดของ เตรียมของสำหรับ extra ถือ ย้ายของที่ย้ายจาก set เข้าที่เดิม เดินเข้าฉากเป็น extra

Working Report 09/09/08

สิ่งที่ได้ทำภายในวันนี้

1. เข้าประชุมทีมงาน ที่ออกกอง KCC GE SCORE ได้ทำความเข้าใจปัญหาของการออกกอง ทีมงานต่างๆได้แชร์ความคิดเห็นกัน รับรู้ความผิดพลาดเพื่อแก้ไขต่อไป

2. เข้าประชุมงาน Xylitol MAN ได้ฟังพี่ OD คอมเม้นท์งาน และได้ฟังการคอมเม้นท์เรื่องทีมงาน


Working Report 10/09/08

สิ่งที่ได้ทำภายในวันนี้

1. เช็คคิวงานใน ปฎิทิน

2. รวบรวมรายละเอียดว่าแต่ละแผนกต้องทำอะไรบ้าง งาน Tops Supermarket PIG โดยช่วยกับพี่ KWG ในการรวบรวม

3. หา REF สัตว์ประหลาด อุลตร้าแมน TIGA และ rider hibiki และหา Ref เท้าเอเลี่ยน

4. แก้ไขบอร์ด Tops Supermarket Pig

Music is alive, music is a life.

อีก 5 ปีข้างหน้าคุณอยากจะเป็นอะไร จะทำอะไรที่ Sky Exits Film Production

จริงๆแล้วคำถามนี้เกิดขึ้นในใจมานานแล้วค่ะ ว่าอนาคตข้างหน้าเราจะทำอะไรดีนะ แต่ก่อนช่วงเข้ามาใหม่ๆ คิดว่าเดี๋ยวทำงานซักปีสองปีเก็บตังได้ ก็จะไปเมืองนอกไปเรียนไปหางานเมืองนอกทำดีกว่า ได้เที่ยว ได้เจออะไรใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ความคิดอันนี้ก็ได้เปลี่ยนไปหลังจากที่แม่ PAD เสีย เหตุผลเพราะ PAD อยากดูแลพ่อมากกว่า ความคิดนี้เลยทำให้ PAD มองอนาคตตัวเองใหม่ว่าตัวเองอยากทำอะไร หลังจากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในทีม Production มาเป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี ทำให้ได้คำตอบว่า ถ้าถามว่าอีก 5 ปีข้างหน้าคุณอยากเป็นอะไร จะทำอะไรที่ Skyexits Film Production คำตอบคือ อยากเป็นส่วนหนึ่งในทีม Production House ต่อไปค่ะ

แต่ทุกครั้งที่ได้ออกกองในส่วนของ Casting ทั้งที่ PAD ก็พยายามตั้งใจทำในสิ่งที่ได้รับผิดชอบเต็มที่ที่สุด แต่ในหลายๆครั้งตอน Brief Acting กับพวก Extra รู้สึกว่าทำได้ไม่ดี ทั้งๆที่เราตั้งใจทำเต็มที่แล้ว มีให้ต้องปรับปรุงแก้ไขทุกครั้งไป จึงเริ่มทำให้คิดว่าจะมีส่วนใหนใน Production ที่เราสามารถทำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าสิ่งที่ทำอยู่บ้าง และเราได้ช่วยเหลือทีมได้มากขึ้น เป็นประโยชน์กับทีมมากขึ้นรึปล่าว จึงทำให้ไปเจอตำแหน่ง Producer/Location Manager PAD รู้สึกว่า ตำแหน่งนี้ได้เป็นประโยชน์กับทีมมาก เหมือนเป็นคนที่ทำให้ทีมได้ทำงานอย่างราบรื่นได้คอย Support ทีมในนทุกๆ แผนกเลยคิดว่าถ้าได้ทำก็คงทำให้เราเป็นประโยชน์กับทีมได้ไม่มากก็น้อย จึงอยากศึกษาในสายงานนี้ค่ะ

PAD…

ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการไม่สื่อสารกันในทีม

ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการไม่สื่อสารกันในทีม เวลาถ่ายทำเกิดความไม่เคลียร์ และเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างทีมกับผู้กำกับ ทีมไม่ชอบพูด ทีมไม่ชอบถาม ทีมไม่ชอบตอบ...

อาจเป็นเพราะกลัวที่จะเสนอความคิดเห็นของตัวเอง กลัวว่าสิ่งที่พูดออกไปจะผิด หรือ บางคนอาจจะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของเรา ของแผนกอื่นให้เค้าจัดการเอง สิ่งที่จะแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ได้นั้นต้องได้รับการร่วมมือจากทุกคนในทีม เพื่อที่จะทำให้ทุกคนในทีมนั้นได้ทำงานกันอย่างมืออาชีพมากขึ้น นั้นก็คือ เปลี่ยนแนวคิดการทำงานใหม่…

โดยการช่วยกันเสนอความคิดขณะประชุม พูดกันมากขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าความคิดของตัวเองจะถูกหรือจะผิด ถ้าเราได้พูดออกไปจะทำให้ทีมได้รู้ว่าเราคิดอะไร และเราก็จะได้รู้ว่าเราเข้าใจตรงกันกับทีมหรือไม่ ถ้าเข้าใจไม่ตรงกันจะได้ปรับแก้ไขให้เข้าใจตรงกันง่ายขึ้น ตรงใหนไม่เคลียร์ต้องถามให้ ชัดเจน เพื่อที่จะทำให้ทิศทางการทำงานของทีมและผู้กำกับไปจุดเดียวกัน งานแต่ละ Job จะได้ออกมามีคุณภาพอย่างที่คาดไว้

PAD…

ปัญหานี้อาจเกิดจากปัญหา เล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและชัดเจน

ในส่วนตัวของ GIB คิดว่าปัญหานี้อาจเกิดจากปัญหา เล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและชัดเจน จึงกลายเป็นปัญหาที่บานปลาย เช่น

· การสื่อสารและการไม่กล้าที่จะสื่อสาร

ปัญหาแรกคือการสื่อสารที่หลายต่อ ถึงข้อความเดียวกันแต่ก็แตกต่าง เลยกลายเป็นความไม่เข้าใจ หนูว่าการทำความเข้าใจกันโดยตรงแบบตัวต่อตัว จะชัดเจนกว่า

แต่ปัญหาสองก็คือ การไม่กล้าจะสื่อสารกับตัวผู้กำกับแบบตัวต่อ ทั้งการ Present งาน การพูดคุยถึงปัญหาของงาน หรือแม้กระทั่งการคุยเรื่องส่วนตัวก็ตาม

แล้วยิ่งเจอปัญหาหนักเข้า หนักเข้า เลยกลายเป็นไม่กล้าจะสู้หน้า ถ้าเราไม่รีบทลายกำแพงตรงนี้ ทิ้งไว้นานๆมันจะเรื้อรังค่ะ เราอาจจะเริ่มจากการกล้าพูด กล้าคุย กล้าเสนอความคิดเห็นมากกว่านี้ค่ะ

· ความสัมพันธ์ในการทำงาน

หนูสังเกตจากการประชุมทีม จะมีการตามงานของแต่ละฝ่าย brief งานว่าแต่ละฝ่ายต้องทำอย่างนี้ๆ .....ทุกคนตั้งใจทำงาน เตรียมและคิดหาทางแก้ไขปัญหาในหน้าที่ที่ตัวเองรับผิดชอบ ให้ออกมาดีเสร็จตามกำหนด.....แต่อาจจะลืมนึกถึงปัญหาเวลาที่ต้องรันกองถ่าย เมื่อทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม จึงกลายเป็นติดอันนู้น พออันนี้เสร็จกลายเป็นติดอันนี้ ไม่จบไม่สิ้น

ถ้าโคกันได้ สัมพันธ์กัน Link กันได้ ก็อาจจะทำให้ปัญหาในการออกกองลดน้อยลงค่ะ

*** ที่หนูว่ามาทั้งหมดอาจจะจริง ไม่จริงก็ได้...หนูมองว่าการแก้ปัญหาอันนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกๆคน ไม่ใช่แค่ทีม หรือ ผู้กำกับฝ่ายเดียว บางทีผู้กำกับอาจช่วยได้ในการพาทีมไปสู่ idea ของตัวเอง ทำให้ทุกอย่างเป็นเอกภาพได้ ส่วนทีมหรือแม้กระทั่งตัวหนูเองก็คงอยากจะให้อะไรๆ มันดีขึ้นนะคะ ก็จะพยายามปรับปรุงตัวเอง อย่างที่พี่อ๊อดเคยบอกว่า เวลาเกิดปัญหา ให้โทษตัวเองก่อนแล้วค่อยโทษคนอื่น ค่ะ...

GIB

แต่ก็ถูกที่พี่อ่ำ เคยพูดว่า “ในสายงานต้องแข่งขันกัน”

เรื่องของการไม่พูด ไม่สื่อสารกันในที่ประชุม จากการที่ได้เข้าไปนั่งประชุมกับลูกค้าก็ดี กับทีมเองก็ดี ส่วนตัวมันมีเรื่องของความอาวุธโสในหน้าที่การงาน คนที่ทำงานมาอยู่ก่อน และขาดความมั่นใจหรืออาจจะหมั่นใจแต่ก็ไม่พูดออกไปดีกว่า กว่าคนอื่นจะหมั้นไส้เอา แต่เป็นสิ่งที่ผิด

แต่ก็ถูกที่พี่อ่ำ เคยพูดว่า “ในสายงานต้องแข่งขันกัน”

ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช้การฆ่ากันเองเป็นการทำงานให้งานออกมาดีและเป็นไหวพริบของแต่ละบุคคลมากกว่า คนที่จะ Present งานทั้งหมดออกมาได้ดีนั้น ต้องมีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่มั่นใจอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะพูด และสื่อสารออกไป และตีโจทย์ให้แตก ให้พูดเชื่อว่าทุกคนพูดได้หมด แต่จะตรงใจลูกค้าหรือว่าคนฟังนั้น เป็นความสามารถเฉพาะตัวจริงๆ บุคลิกภาพ น้ำเสียงทุกอย่างต้องสัมผันกันหมด

ในคำพูดของ OD ที่ว่า “กลุ่มคนหรือพนักงานใหม่ๆที่เข้ามาร่วมงาน จะถูกสั่งสมด้วยวิธีการเดิมๆ” คนที่อยู่ก่อนอาจจะสอนให้คนที่มาทีหลัง

ไม่ต้องพูด...ถ้าเขาไม่ถาม มันก็จะกลายเป็ว่า...

ถ้าไม่มีใครถาม ก็ไม่ต้องพูด

แต่อีกแง่มุมหนึ่ง ก็จะเป็นแบบ

ไม่ให้พูด แต่กูจะพูด ทำไมอ่ะ โดยที่ไม่สนใจใคร

แต่คนประเภทแบบไม่ให้พูด แต่จะพูด มันมีน้อยในสกาย หรือว่ามี อาจจะไม่อยากแสดงตัว

สิ่งที่ OD พูดในวันนั้น เป็นปัญหาที่สกายเป็นอยู่แก้ไม่ตก แก้เท่าไรก็ไม่ได้สักกะที เข้าใจ 88 กับปัญหาตรงนี้ การเปิดให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นเป็นสิ่งที่ดี ดีมากๆ คิดอะไรก็พูดไปเถอะ แต่ก็ไม่ใช้ว่าจะพูดได้ทุกอย่าง ก็ต้องดูกาลเทศะด้วย ว่าควรพูด หรือไม่ควรพูด

การสร้างความคุ้นเคย ความสนิทสนมระหว่าง ผู้กำกับ กับทีมงานเป็นสิ่งที่ดีนะคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องทำให้คนอื่นเชื่อหมั้นในตัวเราก่อนเป็นอันดับแรก

ต้องกล้าที่จะพูดกันให้มากขึ้น ต้องให้กำลังใจกับตัวเองทุกครั้งเวลาที่ทำผิดพลาด อย่าเก็บเอามาเป็นปมด้อย ให้เก็บเอาไว้เป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ ยังมีอีกเยอะที่ยังไม่เคยได้รู้และได้เห็น

ส่วนเรื่องความเข้าใจในงาน ในเรื่อง Blue Screen หรือเทคนิคต่างๆ มันเป็นเรื่องของความรู้รอบตัว การสังเกต การศึกษาข้อมูลของแต่ละบุคคลเองค่ะ อ่านเยอะได้เยอะ แต่มันก็ต้องชอบและรักที่จะศึกษากับมันด้วยตรงนี้ ถึงจะสามารถพูดและอธิบายออกมาได้ ให้ทุกคนได้เห็นภาพและคิดตามเป็นภาพได้ด้วย

OoM