Saturday 22 November 2008

Sky Exits Team : Climbing : Krabi : Railay : Thaiwand wall

From Climbing : Krabi : Railay : Thaiwand Wall

Railay’s Thaiwand Wall is as beautiful as the face that launched a thousand ships. Its perfect 200-metre multihued form rears up out of the Andaman Sea and from it drip stalactites like the wax from a candle. It’s obviously a debatable assertion to claim that Railay’s Thaiwand Wall is the finest crag is southeast Asia, but I doubt whether there are many climbers who have experienced it who will mock the assertion. This chunk of rock is special in lots of different ways.

Firstly, it is hollow; non-climbers can ascend fixed ropes and ladders all the way through it from behind, starting from the northern end of the incomparably beautiful Phra Nang beach and emerging 30 metres above the equally stunning West Railay beach. The only piece of equipment needed is a torch.

Secondly, the view from its middle- and upper reaches is simply sublime, the buttressed ramparts of Tonsai’s Sleeping Indian Wall framing the beach in an almost impossibly lovely rock amphitheatre.

Thirdly, this place has routes for everybody, from‘rock-faller-offers’ and intermediate crag-hangers through to the rock gymnasts many of us so
admire and wish to emulate.

Fourthly, the rock here is just gorgeous, like a nonexistent volcano had poured multicoloured lava all down it, while leaving often tiny and sometimes agonizingly sparse holds along the way.

Special Thank You For Credit Link;
http://www.andamanadventures.com/press_articles/climb_thaiwand_thailand.shtml

From Climbing : Krabi : Railay : Thaiwand Wall


From Climbing : Krabi : Railay : Thaiwand Wall


From Climbing : Krabi : Railay : Thaiwand Wall


From Climbing : Krabi : Railay : Thaiwand Wall




All picture slide show;
Sky Exits Team : Climbing : Krabi : Railay : Thaiwand wall



From Climbing : Krabi : Railay : Thaiwand Wall


From Climbing : Krabi : Railay : Thaiwand Wall

Wednesday 15 October 2008

Darren Aronofsky






Director, Screenwriter
Gender: Male
Born: February 12, 1969
Birthplace: Brooklyn, New York
Nationality: American

Full Biography
From All Movie Guide: Darren Aronofsky secured a reputation as a brash, intelligent filmmaker at the age of 29, with Pi, his 1998 feature directorial and screenwriting debut. A dizzying black and white odyssey, it tells the story of a brilliant mathematician (Sean Gullette) driven by his conviction that higher mathematics can be used to unlock the secrets of the natural world. Claiming such disparate influences as Stanley Kubrick's A Clockwork Orange, the visual and editing style of Japan's Shinya Tsukamoto (Tokyo Fist, Tetsuo), Terry Gilliam's Brazil, Rod Serling, Philip K. Dick, the chaos theory, and the Jewish Kabbalah, Pi garnered Aronofsky the 1998 Sundance Festival's Directing Award for Dramatic Competition.

A self-described "Brooklyn hip-hop kid," Aronofsky was born in the borough on February 12, 1969. His upbringing was marked by his Jewish heritage (although in an interview he once disparagingly referred to himself as a "classically hypocritical high holiday Jew"), painting graffiti art on subway cars, and filmgoing in Times Square. An alumnus of the New York public school system, he attended Harvard, where he studied live action and animation and met future collaborator and Pi star Sean Gullette. He received international acclaim for his senior thesis film, Supermarket Sweep, which also starred Gullette, and went on to earn an MFA in Directing from the American Film Institute.


After the critical success of Pi, which Aronofsky made with $60,000 borrowed from family and friends and what must have been half of New York City's abandoned computer equipment, the maverick embarked on his next major project. Entitled Requiem for a Dream, and developed at the Sundance Lab, the picture stars Jared Leto as Harry Goldfarb, a heroin addict intent on pawning his mother's beloved TV as part of a scheme that will allow himself, his girlfriend (Jennifer Connelly), and his best friend (Marlon Wayans) to score more smack. While the trio sink helplessly into a whirlpool of addiction, Harry's mother, Sara (Ellen Burstyn) wins a spot on a game show, but nearly starves herself to death on diet pills and develops a serious dependency herself. Issued on October 6, 2000 Requiem drew critical raves from coast to coast from all but the most discerning of reviewers.


Meanwhile, Aronofsky worked on additional projects and pursued additional leads. In-between Pi and Requiem, he had co-authored (with David N. Twohy and Lucas Sussman) the screenplay to Below, a much more conventional screen vehicle. Aronofsky ducked out of the limelight for a few years, but made a return in 2006 with the much-delayed, much-hyped The Fountain, a mystical, reality-shifiting gloss on 2001. ~ Rebecca Flint Marx, All Movie Guide

Education
Institution - Harvard University
Location - Cambridge, MA
Major - anthropology, live action film, animation
Year range - 1991
Institution - Edward R Murrow High School
Location - Brooklyn, NY
Year range - 1987
Institution - American Film Institute
Location - Los Angeles, CA

Special Thanks : http://movies.nytimes.com/person/235045/Darren-Aronofsky/biography

Friday 19 September 2008

ช่องว่างระหว่างวัยทำงาน



หนึ่งในสาเหตุของความเครียดในที่ทำงานคือ การที่คนหลายรุ่นหลายวัยหลายความคิด
ต้องมาทำงานร่วมกัน ความแตกต่าง ระหว่างเลขวัยที่สัมพันธ์กับเลขไมล์ของ
ประสบการณ์ มักนำมาซึ่งความไม่เข้าใจกัน..จนก่อตัวเป็นความขัดแย้ง

ในที่สุด บางทีความแตกต่าง คือ กุญแจแห่งความสำเร็จ เพียงขอเปิด ใจทำความรู้จักคนแต่ละรุ่นให้ลึกซึ้งก็จะได้พบ
โลกใบใหม่ที่งดงาม หลากหลาย และหากเลือกที่จะสื่อสารได้อย่างถูก ช่องถูกกลุ่ม ก็อาจจะได้อะไรใหม่ ๆ คาดไม่ถึง

ใครเป็นใครในที่ทำงาน เราจะแบ่งรุ่นของคนทำงานในที่ทำงานให้ชัดๆ ก่อน
โดย จำแนกจากช่วงปีเกิด ซึ่งจะสัมพันธ์กับประสบการณ์ในช่วงเติบโต
ทำให้เห็นยุคสมัยที่หล่อหลอมความคิดของพวกเขาได้ชัดเจนขึ้น

กลุ่มลายคราม : คนที่เกิดก่อนปี 2498
ลายคราม...ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งกรรมการที่ปรึกษา หรือ เป็นพนักงานวัยใกล้เกษียณ
คนกลุ่มนี้จะมีผู้คน นับหน้าถือตามากมาย
อันเนื่องมาจากประสบการณ์การทำงานอันยาวนาน
ของพวกเขานั่นเอง คนกลุ่มนี้จะเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะยุติ
จึงเติบโตมาท่ามกลางสภาพบ้านเมืองที่มีทรัพยากรที่จำกัด ทำให้รู้จักคุณค่าของเงิน
มักมีคุณลักษณะที่มั่นคง เชื่อใจได้ สู้งานหนัก
ใช้จ่ายอย่างรู้คิดและภักดีต่อองค์กรสูง

กลุ่ม Baby Boom :
คนที่เกิดช่วงปี 2499 – 2507
หลังสงครามยุติ ประเทศเข้าสู่ความสงบ
การรณรงค์คุมกำเนิดยังไม่แพร่หลาย จึงเกิดพลเมืองตัวน้อยๆ ขึ้นมากมาย
Baby Boom เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและแข่งขันกับคนวัยเดียวกันเพื่อให้ได้งาน
ยิ่งเมื่อประเทศกำลังพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ยุคความเป็นอุตสาหกรรม
Baby Boom ก็ยิ่งจำเป็นต้องทำ งานหนักมากขึ้น
เต็มเหยียดวันละ 8 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์

ลูกจ้าง Baby Boom มักเคยชินต่อการพิสูจน์ตัวเอง เพื่อให้นายจ้างยอมรับในศักยภาพ
การจะก้าวไปสู่ตำแหน่ง ใหญ่นั้น ต้องใช้เวลาและแรงผลักดันอย่างสูง

กลุ่ม Generation–X : คนที่เกิดช่วงปี 2508 – 2523
Generation–X ลืมตาดูโลกในช่วงเวลาที่มนุษยชาติส่งยานอวกาศออกไปนอกโลก ได้สำเร็จ
ของเล่นสุดฮิตของเด็กรุ่นจึงไม่ใช่ม้าโยก หรือตุ๊กตาหมีอีกต่อไป
แต่เป็นวิดีโอเกม เกมกด และWalkman พวกเขาเติบโตมาใน ยุครอยต่อของ Analog กับ Digital
อยู่ท่ามกลางเทคโนโลยีที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ ทว่าที่สังคมเปลี่ยนแปลงในทางวัตถุนี้
กลับทำให้ สถาบันครอบครัวสั่นคลอน ความภักดีต่อองค์กรของคนรุ่นนี้จึง คลายลงมาก
นำมาสู่การลาออกและเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น
ไม่แปลกที่ชาว Baby Boom ผู้ไม่เคยเกี่ยงที่จะทำโอทีจนดึกดื่นจะอึ้ง
ที่ชาว Generation–X ปฏิเสธการทำงานล่วงเวลา
หรือลาออกไปหางานใหม่หน้าตาเฉยหากไม่พอใจ
ทั้งนี้เพราะ Generation–X เชื่อว่างานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต


กลุ่ม Millennium : คนที่เกิดปี 2524 เป็นต้นมา
Millennium คือกลุ่มคนทำงานหน้าใหม่ไฟแรง แต่ยังอ่อนต่อประสบการณ์
บางคนอาจยังเรียนไม่จบเสียด้วยซ้ำ หรือบางคนมีแผนที่จะเรียนต่อ
ชาว Millennium โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ
รวมถึงระบบการศึกษาที่เริ่มให้ความสำคัญกับการคิดมากกว่าการท่องจำ
ชาว Millennium จะมีพ่อแม่ที่มีความรู้สูง จึงให้การสนับสนุนให้ Millennium
ได้เสริมทักษะด้านต่างๆ ตั้งแต่เด็ก ฉะนั้น Millennium จึงชอบแสดงออก
มีความเป็นตัวของตัวเองสูงและสนุกกับการทำงานเป็นทีมไม่ชอบอยู่ในกรอบ และไม่ชอบ เงื่อนไข
ในขณะนี้ ชาว Generation-X เปลี่ยนงานครั้งที่ 12 เพื่อ
เป็นผู้บริหารระดับสูงกินเงินเดือนเรือนแสน แต่ชาว Millennium จะลาออกไปเริ่มธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง


สลายช่องว่างสร้างความเข้าใจ เมื่อเข้าใจอย่างท่องแท้แล้วว่า
ใครมีค่านิยมในชีวิตอย่างไร ใคร ๆก็สามารถสร้างสะพานข้ามช่องว่าง เพื่อข้ามไปหากันได้

สูตรสร้างสะพานข้ามช่องว่าระหว่างวัยมีอยู่ 3 ขั้นตอน
1. เข้าใจถึงความแตกต่าง
ยอมรับว่าคนเราถูกหล่อหลอมมา ไม่เหมือนกัน คนที่มีความเชื่อหรือทัศนคติต่อชีวิตไม่เหมือนคุณ เขาไม่ใช่คนไม่ดีเสมอไป

2. ชื่นชมจุดดี
แทนที่จะต่อต้าน ให้เราลองมองหาจุดเด่นของคนในแต่ละกลุ่มให้พบ

3.บริหารความแตกต่าง
เปลี่ยนวิธีการสื่อสารให้เข้าถึงคนแต่ละกลุ่มที่เราต้องทำงานด้วย ทำงานกับกลุ่มลายคราม
จงให้เกียรติและให้ความเคารพอย่างสูงต่อพวกเขา
เมื่อคุณให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็จะให้เกียรติคุณ แล้วถ้าบังเอิญคุณมีตำแหน่งสูงกว่าพวกเขา
จงแสดงความชื่นชมต่อเขาในด้านการเป็นเสาหลักขององค์การ และจงรับฟังเมื่อพวกเขา
ถ่ายทอดประสบการณ์ในอดีต การต่อสู้ ความพากเพียรในการทำงานจนผ่านพ้นความยากลำบากมาได้
เพราะสิ่งนั้นคือ สิ่งที่คนรุ่นหลังไม่มี และไม่รู้จัก อย่ามองว่า..กลุ่มลายครามคือ หมาล่าเนื้อ ไม่มีที่ไป
แต่การที่พวกเขาทำงานอยู่จนถึงวัย เกษียณนั้น เป็น เพราะพวกเขาเชื่อในคุณค่าของความมั่นคง
และถือความซื่อสัตย์เป็นที่สุด


ทำงานกับกลุ่ม Baby Boom จงแสดงความนับถือ รับฟัง และเรียนรู้จากประสบการณ์ของBaby Boom
แล้วพยายามปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าคุณจะเก่งกาจแค่ไหน
หรือคุณจะประสบความสำเร็จเพียงใจ คุณก็ยังต้องเรียนรู้อยู่เสมอ
อย่าแสดงออกว่าการทำงานหนัก คือ การถูกเอาเปรียบ เพราะ Baby Boom
ให้ความสำคัญต่อหลักการทำงาน ยึดถือวัฒนธรรมองค์การและเห็นคุณค่าต่อการทำงานอย่างทุ่มเท
หากต้องทำงานในองค์กรใหญ่ๆ ที่มีประวัติศาสตร์ ยาวนาน ซึ่งบริหารงานโดย Baby Boom
ควรพยายาม เรียนรู้ วัฒนธรรมองค์กรเสียก่อนว่ามีการเจริญเติบโตมาอย่างไร ก่อน
ที่จะเสนอความคิดริเริ่มเพื่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ แก่ Baby Boom

ทำงานกับกลุ่ม Generation–X ต้องพูดให้กระชับ ชัดเจนและไม่อ้อมค้อม
เพราะGeneration–X ชอบความตรงไปตรงมา คุณสามารถใช้ Email กลับคนกลุ่มนี้ได้
หากคุณสามารถสื่อสารได้ใจความและตรงเป้าหมาย หากเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ควรพูดต่อหน้า
เพราะ Generation–X ไม่ชอบถูกบงการ ผู้ใหญ่แค่ให้นโยบายกว้างๆ
เปิดโอกาสให้เขาได้แก้ปัญหาเองจะดีที่สุด

ส่วน Baby Boom ควรลดความคาดหวังต่อ Generation–X
ในการทำงานหนักอย่างหนักโดยไม่มีวันหยุดหรือก้าวไปอย่างช้า ๆอย่างรุ่นตน
เพราะGeneration–X ต้องการชีวิตที่สมดุล ไม่ชอบการอยู่ติดที่

ทำงานกับกลุ่ม Millennium
ลองท้าทายพวกเขาด้วยภารกิจใหม่ๆ Millennium จะชอบ
ความเป็นคนสำคัญการเพิ่มความรับผิดชอบเสมือนการให้คำชม จงเปิดโอกาสให้ Millennium
ได้แสดงความคิดเห็นของเขาเห็นพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในทีม ผู้ใหญ่ที่ยอมรับความคิดเขา
ก็จะได้รับการยอมรับจากพวกเขาเช่นกัน Millennium
ชอบให้คุณแสดงออกต่อสิ่งที่พวกเขาทำทุกขณะจิต เพราะความรู้สึกและความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน
มีผลต่อพวกเขามาก

แค่เข้าใจ..ทุกอย่างก็ลงตัว

Monday 15 September 2008

อย่าตัดสินความผิดของคนๆ นั้น เพียงแค่ คำตอบ ของเรา

เงินสิบบาท

ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร?

ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า 'ถ้ามีเงินอยู่10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร' เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า '7 บาท' แต่มีเด็ก 2คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น
คนหนึ่งตอบว่า '2 บาท'
อีกคนหนึ่งตอบว่า 'ไม่ต้องทอน'

ครูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน2 บาท คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขาสำหรับเงิน10 บาท คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้น จึงได้เงินทอน 2 บาท

ถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือเงินทอนเลย
คำตอบก็คือเด็กคนนี้คิดว่าในกระเป๋ามีเหรียญบาท10 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้3 เหรียญ เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา

โชคดีที่เป็นการถาม-ตอบในห้องเรียน ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง เด็ก 2 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่
การสร้างโจทย์ที่ 'เสมือนจริง' จินตนาการของ'ครู' อาจถูกจำกัดเพียงแค่ 'ตัวเลข' แต่สำหรับเด็ก จินตนาการของเขาไร้กรอบ 10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาท

เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก1 คำตอบ คือ ได้เงินทอน 1 บาท

โลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน โลกในห้องเรียน ทุกคำถามส่วนใหญ่มีเพียง1 คำตอบ แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน1 คำตอบ

'อย่าตัดสินความผิดของคนๆ นั้น เพียงแค่ คำตอบ ของเรา'

Wednesday 10 September 2008

ปัญหาทุกอย่างเกิดจาก”ความกลัว”ครับ

สำหรับ BBY มองว่า ปัญหาทุกอย่างเกิดจาก”ความกลัว”ครับ....กลัวความคิดตัวจะผิด กลัวว่าจะถูกด่าถูกตำหนิ

กลัวว่าจะไม่ถูกใจแล้วจะถูกลดความสำคัญ..ทุกอย่างเป็นเพราะอยากให้งานสำเร็จกันทุกคนนั่นแหละ



ทั้งทั้งที่จริงๆแล้ว การสื่อสารที่ถูกต้อง คือ ONE BY ONE เช่น BBY มีเรื่องจะบอก 88 BBY ก็ต้องเดินไปบอก 88

...ถ้า BBY ฝากบุคคลที่สอง ที่สามไปบอก...มันก็ไม่ Success



ไม่รู้นะครับ..อันนี้ความคิดเห็นส่วนบุคคล อาจจะด้วย BBY ทำ Freelands มานานโข ก็เลยติดพฤติกรรมที่ว่า อยากให้ใครรู้อะไรก็ต้องบอก

ต้องถาม..หรือเดินไปบอก ณ เดี๋ยวนั้น ปัญหานั้นก็จะได้จบ จะได้มีข้อยุติ ทำให้บางครั้งก็ดูเหมือนจะข้ามขั้นตอนในระบบของการทำงานเป็นทีมไปบ้าง...ขอโทษคั๊บ!!



ในส่วนของการ Presents. ความคิดเห็นทั้งในที่ประชุมหรือการคุยกันสองสามคน บ่อยครั้งที่ BBY ก็ปล่อยไก่ตัวโตไป เพราะต้องการจะแสดงความคิดเห็นส่วนตัว

ให้ผู้อื่นได้ฟังบ้าง BBYไม่อยากจะมานั่งคิดกับตัวเองทีหลังว่า....โหว...ตอนนั้นทำไมเราไม่บอกคนอื่นไปนะว่ายังงั้น ยังงี้......แต่ BBY ก็ไม่ได้ก้าวร้าว หรือเถียงคำไม่ตกฟากนะครับ BBY นอบน้อม....ใครๆก็รู้

ดังนั้น...สำหรับข้อแก้ปัญหาวิธี แบบ BBY เองก็คือ.....อยากให้ทุกคนคิดว่าทุกคนมีดี..ไม่ได้อยากจะให้มั่นใจจนหลงตัวเองนะครับ แต่อยากให้มีความมั่นใจ

จนสามารถที่จะกล้าแย้งในส่วนที่คิดว่ามันไม่ใช่..ถึงสุดท้ายความคิดเราอาจจะเหลวแหลก เละเป๊ะที่สุด...อย่างน้อยทุกคนก็ได้รู้ว่าสมองเราคิดตาม ไม่ใช่นั่งสมองกลวงโบ๋เป็นนางงามเดินสาย

ให้ดีที่สุดก็ ขอยืมคำ P’POR มาใช้นะครับ ฟังมาเมื่อกี๊ “ สุดท้าย..การกลับมาเป็นตัวเราเองก็ดีที่สุด.....ยืนหยัดที่จะเป็นตัวเองดีกว่า” ..เพราะมันจะเป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นด้วยว่า นิสัยอย่างเราหน่ะ อยู่ในสังคมปกติได้ไหม๊...ก็เท่านั้น

ขอบคุณครับ

BBY

สิ่งที่ได้ทำในวันนี้

สิ่งที่ได้ทำในวันนี้



-เข้าประชุมงาน TOPS-Market_Pig เพื่อหารือกับลูกค้าเอเจนซี่ และรับฟังบรีฟจาก P’OD



-เข้าประชุมงาน Smooth E_Ann เพื่อฟังบรีฟจาก P’POR และฟังรายละเอียดการทำงานจากแผนกต่างๆ



-หา Ref. เครื่องแต่งกายของ แอน ทองประสมในรูปแบบต่างๆ เพื่อศึกษาว่า เธอมีรูปร่างอย่างไร และเหมาะกับ
เสื้อผ้ารูปแบบไหน เพื่อจัดหา Ref. เครื่องแต่งกายที่เหมาะสมกับตัวแอน และหนังโฆษณา

-หา Ref. เสื้อผ้าแบบต่างๆเพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับขายงานลูกค้า

-ช่วย P’BUM หาเสื้อผ้าและแหล่งของชุดนักอเมริกัน ฟุตบอล เพื่อ Setlook ทำเทสน์ในวันเสาร์-อาทิตย์

สิ่งที่ได้รับในวันนี้

-ได้รับทราบความเป้นไปของงานที่กำลังรันกันอยู่ เพื่อนำข้อมูลไปปรับในการทำงานต่อไป
หากมีข้อแนะนำ...ยินดีนะครับ

BBY

ออกกองงาน KCC GE Score โดยออกไปรอบหลังพร้อม พี่ NUJ

Working Report 04/09/08

สิ่งที่ได้ทำภายในวันนี้

1. หา reference งาน Tops Supermarket PIG เพิ่มเติม

2. ทำ PPM BOOK งาน KCC-GE_score ร่วมกับ KWG



Working Report 05/09/08

สิ่งที่ได้ทำภายในวันนี้

1. ทำ Breakdown งาน KCC ที่จะถ่ายทำ วันจันทร์ 8 ก.ย.

2. ลองออกแบบ สัตว์ประหลาด งาน Xylitol เพิ่มเติม โดยลองหา ref สัตว์ประหลาด แบคทีเรีย



Working Report 06/09/08

สิ่งที่ได้ทำภายในวันนี้

1. แก้ไขทำ Breakdown งาน KCC ให้เรียบร้อย เช่น แก้ไข Location ปั้มน้ำมันคาลเท็กซ์ และรายละเอียดอื่นๆ

2. ช่วย PIM หาแปลน ห้างเสรี เซ็นเตอร์ ซีคอนสแควร์ แผนที่

Working Report 08/09/08

สิ่งที่ได้ทำภายในวันนี้

1. ออกกองงาน KCC GE Score โดยออกไปรอบหลังพร้อม พี่ NUJ ไปเซ็ทฉากที่ MAJOR เซรีเซ็นเตอร์ โดยช่วยย้ายของจัดของ เตรียมของสำหรับ extra ถือ ย้ายของที่ย้ายจาก set เข้าที่เดิม เดินเข้าฉากเป็น extra

Working Report 09/09/08

สิ่งที่ได้ทำภายในวันนี้

1. เข้าประชุมทีมงาน ที่ออกกอง KCC GE SCORE ได้ทำความเข้าใจปัญหาของการออกกอง ทีมงานต่างๆได้แชร์ความคิดเห็นกัน รับรู้ความผิดพลาดเพื่อแก้ไขต่อไป

2. เข้าประชุมงาน Xylitol MAN ได้ฟังพี่ OD คอมเม้นท์งาน และได้ฟังการคอมเม้นท์เรื่องทีมงาน


Working Report 10/09/08

สิ่งที่ได้ทำภายในวันนี้

1. เช็คคิวงานใน ปฎิทิน

2. รวบรวมรายละเอียดว่าแต่ละแผนกต้องทำอะไรบ้าง งาน Tops Supermarket PIG โดยช่วยกับพี่ KWG ในการรวบรวม

3. หา REF สัตว์ประหลาด อุลตร้าแมน TIGA และ rider hibiki และหา Ref เท้าเอเลี่ยน

4. แก้ไขบอร์ด Tops Supermarket Pig

Music is alive, music is a life.

อีก 5 ปีข้างหน้าคุณอยากจะเป็นอะไร จะทำอะไรที่ Sky Exits Film Production

จริงๆแล้วคำถามนี้เกิดขึ้นในใจมานานแล้วค่ะ ว่าอนาคตข้างหน้าเราจะทำอะไรดีนะ แต่ก่อนช่วงเข้ามาใหม่ๆ คิดว่าเดี๋ยวทำงานซักปีสองปีเก็บตังได้ ก็จะไปเมืองนอกไปเรียนไปหางานเมืองนอกทำดีกว่า ได้เที่ยว ได้เจออะไรใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ความคิดอันนี้ก็ได้เปลี่ยนไปหลังจากที่แม่ PAD เสีย เหตุผลเพราะ PAD อยากดูแลพ่อมากกว่า ความคิดนี้เลยทำให้ PAD มองอนาคตตัวเองใหม่ว่าตัวเองอยากทำอะไร หลังจากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในทีม Production มาเป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี ทำให้ได้คำตอบว่า ถ้าถามว่าอีก 5 ปีข้างหน้าคุณอยากเป็นอะไร จะทำอะไรที่ Skyexits Film Production คำตอบคือ อยากเป็นส่วนหนึ่งในทีม Production House ต่อไปค่ะ

แต่ทุกครั้งที่ได้ออกกองในส่วนของ Casting ทั้งที่ PAD ก็พยายามตั้งใจทำในสิ่งที่ได้รับผิดชอบเต็มที่ที่สุด แต่ในหลายๆครั้งตอน Brief Acting กับพวก Extra รู้สึกว่าทำได้ไม่ดี ทั้งๆที่เราตั้งใจทำเต็มที่แล้ว มีให้ต้องปรับปรุงแก้ไขทุกครั้งไป จึงเริ่มทำให้คิดว่าจะมีส่วนใหนใน Production ที่เราสามารถทำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าสิ่งที่ทำอยู่บ้าง และเราได้ช่วยเหลือทีมได้มากขึ้น เป็นประโยชน์กับทีมมากขึ้นรึปล่าว จึงทำให้ไปเจอตำแหน่ง Producer/Location Manager PAD รู้สึกว่า ตำแหน่งนี้ได้เป็นประโยชน์กับทีมมาก เหมือนเป็นคนที่ทำให้ทีมได้ทำงานอย่างราบรื่นได้คอย Support ทีมในนทุกๆ แผนกเลยคิดว่าถ้าได้ทำก็คงทำให้เราเป็นประโยชน์กับทีมได้ไม่มากก็น้อย จึงอยากศึกษาในสายงานนี้ค่ะ

PAD…

ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการไม่สื่อสารกันในทีม

ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการไม่สื่อสารกันในทีม เวลาถ่ายทำเกิดความไม่เคลียร์ และเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างทีมกับผู้กำกับ ทีมไม่ชอบพูด ทีมไม่ชอบถาม ทีมไม่ชอบตอบ...

อาจเป็นเพราะกลัวที่จะเสนอความคิดเห็นของตัวเอง กลัวว่าสิ่งที่พูดออกไปจะผิด หรือ บางคนอาจจะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของเรา ของแผนกอื่นให้เค้าจัดการเอง สิ่งที่จะแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ได้นั้นต้องได้รับการร่วมมือจากทุกคนในทีม เพื่อที่จะทำให้ทุกคนในทีมนั้นได้ทำงานกันอย่างมืออาชีพมากขึ้น นั้นก็คือ เปลี่ยนแนวคิดการทำงานใหม่…

โดยการช่วยกันเสนอความคิดขณะประชุม พูดกันมากขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าความคิดของตัวเองจะถูกหรือจะผิด ถ้าเราได้พูดออกไปจะทำให้ทีมได้รู้ว่าเราคิดอะไร และเราก็จะได้รู้ว่าเราเข้าใจตรงกันกับทีมหรือไม่ ถ้าเข้าใจไม่ตรงกันจะได้ปรับแก้ไขให้เข้าใจตรงกันง่ายขึ้น ตรงใหนไม่เคลียร์ต้องถามให้ ชัดเจน เพื่อที่จะทำให้ทิศทางการทำงานของทีมและผู้กำกับไปจุดเดียวกัน งานแต่ละ Job จะได้ออกมามีคุณภาพอย่างที่คาดไว้

PAD…

ปัญหานี้อาจเกิดจากปัญหา เล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและชัดเจน

ในส่วนตัวของ GIB คิดว่าปัญหานี้อาจเกิดจากปัญหา เล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและชัดเจน จึงกลายเป็นปัญหาที่บานปลาย เช่น

· การสื่อสารและการไม่กล้าที่จะสื่อสาร

ปัญหาแรกคือการสื่อสารที่หลายต่อ ถึงข้อความเดียวกันแต่ก็แตกต่าง เลยกลายเป็นความไม่เข้าใจ หนูว่าการทำความเข้าใจกันโดยตรงแบบตัวต่อตัว จะชัดเจนกว่า

แต่ปัญหาสองก็คือ การไม่กล้าจะสื่อสารกับตัวผู้กำกับแบบตัวต่อ ทั้งการ Present งาน การพูดคุยถึงปัญหาของงาน หรือแม้กระทั่งการคุยเรื่องส่วนตัวก็ตาม

แล้วยิ่งเจอปัญหาหนักเข้า หนักเข้า เลยกลายเป็นไม่กล้าจะสู้หน้า ถ้าเราไม่รีบทลายกำแพงตรงนี้ ทิ้งไว้นานๆมันจะเรื้อรังค่ะ เราอาจจะเริ่มจากการกล้าพูด กล้าคุย กล้าเสนอความคิดเห็นมากกว่านี้ค่ะ

· ความสัมพันธ์ในการทำงาน

หนูสังเกตจากการประชุมทีม จะมีการตามงานของแต่ละฝ่าย brief งานว่าแต่ละฝ่ายต้องทำอย่างนี้ๆ .....ทุกคนตั้งใจทำงาน เตรียมและคิดหาทางแก้ไขปัญหาในหน้าที่ที่ตัวเองรับผิดชอบ ให้ออกมาดีเสร็จตามกำหนด.....แต่อาจจะลืมนึกถึงปัญหาเวลาที่ต้องรันกองถ่าย เมื่อทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม จึงกลายเป็นติดอันนู้น พออันนี้เสร็จกลายเป็นติดอันนี้ ไม่จบไม่สิ้น

ถ้าโคกันได้ สัมพันธ์กัน Link กันได้ ก็อาจจะทำให้ปัญหาในการออกกองลดน้อยลงค่ะ

*** ที่หนูว่ามาทั้งหมดอาจจะจริง ไม่จริงก็ได้...หนูมองว่าการแก้ปัญหาอันนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกๆคน ไม่ใช่แค่ทีม หรือ ผู้กำกับฝ่ายเดียว บางทีผู้กำกับอาจช่วยได้ในการพาทีมไปสู่ idea ของตัวเอง ทำให้ทุกอย่างเป็นเอกภาพได้ ส่วนทีมหรือแม้กระทั่งตัวหนูเองก็คงอยากจะให้อะไรๆ มันดีขึ้นนะคะ ก็จะพยายามปรับปรุงตัวเอง อย่างที่พี่อ๊อดเคยบอกว่า เวลาเกิดปัญหา ให้โทษตัวเองก่อนแล้วค่อยโทษคนอื่น ค่ะ...

GIB

แต่ก็ถูกที่พี่อ่ำ เคยพูดว่า “ในสายงานต้องแข่งขันกัน”

เรื่องของการไม่พูด ไม่สื่อสารกันในที่ประชุม จากการที่ได้เข้าไปนั่งประชุมกับลูกค้าก็ดี กับทีมเองก็ดี ส่วนตัวมันมีเรื่องของความอาวุธโสในหน้าที่การงาน คนที่ทำงานมาอยู่ก่อน และขาดความมั่นใจหรืออาจจะหมั่นใจแต่ก็ไม่พูดออกไปดีกว่า กว่าคนอื่นจะหมั้นไส้เอา แต่เป็นสิ่งที่ผิด

แต่ก็ถูกที่พี่อ่ำ เคยพูดว่า “ในสายงานต้องแข่งขันกัน”

ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช้การฆ่ากันเองเป็นการทำงานให้งานออกมาดีและเป็นไหวพริบของแต่ละบุคคลมากกว่า คนที่จะ Present งานทั้งหมดออกมาได้ดีนั้น ต้องมีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่มั่นใจอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะพูด และสื่อสารออกไป และตีโจทย์ให้แตก ให้พูดเชื่อว่าทุกคนพูดได้หมด แต่จะตรงใจลูกค้าหรือว่าคนฟังนั้น เป็นความสามารถเฉพาะตัวจริงๆ บุคลิกภาพ น้ำเสียงทุกอย่างต้องสัมผันกันหมด

ในคำพูดของ OD ที่ว่า “กลุ่มคนหรือพนักงานใหม่ๆที่เข้ามาร่วมงาน จะถูกสั่งสมด้วยวิธีการเดิมๆ” คนที่อยู่ก่อนอาจจะสอนให้คนที่มาทีหลัง

ไม่ต้องพูด...ถ้าเขาไม่ถาม มันก็จะกลายเป็ว่า...

ถ้าไม่มีใครถาม ก็ไม่ต้องพูด

แต่อีกแง่มุมหนึ่ง ก็จะเป็นแบบ

ไม่ให้พูด แต่กูจะพูด ทำไมอ่ะ โดยที่ไม่สนใจใคร

แต่คนประเภทแบบไม่ให้พูด แต่จะพูด มันมีน้อยในสกาย หรือว่ามี อาจจะไม่อยากแสดงตัว

สิ่งที่ OD พูดในวันนั้น เป็นปัญหาที่สกายเป็นอยู่แก้ไม่ตก แก้เท่าไรก็ไม่ได้สักกะที เข้าใจ 88 กับปัญหาตรงนี้ การเปิดให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นเป็นสิ่งที่ดี ดีมากๆ คิดอะไรก็พูดไปเถอะ แต่ก็ไม่ใช้ว่าจะพูดได้ทุกอย่าง ก็ต้องดูกาลเทศะด้วย ว่าควรพูด หรือไม่ควรพูด

การสร้างความคุ้นเคย ความสนิทสนมระหว่าง ผู้กำกับ กับทีมงานเป็นสิ่งที่ดีนะคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องทำให้คนอื่นเชื่อหมั้นในตัวเราก่อนเป็นอันดับแรก

ต้องกล้าที่จะพูดกันให้มากขึ้น ต้องให้กำลังใจกับตัวเองทุกครั้งเวลาที่ทำผิดพลาด อย่าเก็บเอามาเป็นปมด้อย ให้เก็บเอาไว้เป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ ยังมีอีกเยอะที่ยังไม่เคยได้รู้และได้เห็น

ส่วนเรื่องความเข้าใจในงาน ในเรื่อง Blue Screen หรือเทคนิคต่างๆ มันเป็นเรื่องของความรู้รอบตัว การสังเกต การศึกษาข้อมูลของแต่ละบุคคลเองค่ะ อ่านเยอะได้เยอะ แต่มันก็ต้องชอบและรักที่จะศึกษากับมันด้วยตรงนี้ ถึงจะสามารถพูดและอธิบายออกมาได้ ให้ทุกคนได้เห็นภาพและคิดตามเป็นภาพได้ด้วย

OoM

Saturday 6 September 2008

คอนเสิร์ตจากใจสู่ใจ แด่มด วนิดา


๖ ละครเวที ๙ ฅนดนตรี ๓ พจนาลัย ๕ กวีซีไรต์
> คอนเสิร์ตจากใจสู่ใจ แด่มด วนิดา
>
> (Embedded image moved to file: pic06334.jpg)
>
>
>
>
> เนื่องในโอกาสมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
> มอบรางวัล “ฉันรักประชาชน”
>
> วันอาทิตย์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๑ เวลา ๑๗.๐๐ น.
> ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
> บัตรราคา ๓๐๐, ๕๐๐, ๗๐๐ และ ๑,๐๐๐ บาท
>
> รายได้มอบให้กองทุนวนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์
> เพื่อสนับสนุนการเรียกร้องความเป็นธรรมของคนจน
>
>
> “คำขานรับ” มด วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ “ฉันรักประชาชน”
>
> “มด” วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ เกิดเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘
> ในครอบครัวคนจีน
> เป็นคนกรุงเทพมหานครโดยกำเนิด
> เริ่มทำกิจกรรมเรียกร้องประชาธิปไตยและเคลื่อนไหวเพื่ออนุรักษ์สิ่ง
> แวดล้อมตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยมศึกษาในโรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม
> ขณะเรียนอยู่ชั้น ม.ศ.๕ ได้เข้าร่วมเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
> ก่อนที่จะสอบเข้าเป็นนักศึกษา
> มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมทำกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย
> เพื่อความเป็นธรรมในสังคม เป็นสมาชิกวง
> ดนตรี “กรรมาชน”
> และเข้าร่วมต่อสู้กับกรรมกรโรงงานฮาร่าซึ่งยึดโรงงานประท้วงนายจ้างยืดเยื้อถึง
> ๕ เดือน
> หลังเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ มด วนิดา ได้หนีภัยเผด็จการเข้าป่า
> ก่อนคืนเมืองใน
> ปี พ.ศ.๒๕๒๔
> เพื่อศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จนจบปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์
> หลังจากนั้นได้
> ประกอบอาชีพส่วนตัวที่บริษัทอาคเนย์ประกันภัย
> และมัคคุเทศก์นำเที่ยวอยู่หลายปีเพื่อช่วยเหลือภาระทาง
> เศรษฐกิจของครอบครัว
> มด วนิดา ได้กลับมาทำกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)
> เริ่มจากโครงการ
> สันติภาพ รณรงค์ต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์
> จนถึงโครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติในปี พ.ศ. ๒๕๓๒-๓๓
> รับผิดชอบงานฝ่ายวิชาการคัดค้านการสร้างเขื่อนแก่งกรุง เขื่อนแก่งเสือเต้น
> จนถึงเขื่อนปากมูล
> กรณีคัดค้านการสร้างเขื่อนปากมูล ทำให้ วนิดา
> มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งสมัชชาคนจนร่วมกับ
> องค์กรชาวบ้านทั่วประเทศ เรียนร้องความเป็นธรรมเพื่อคนจน ล่าสุด
> เป็นที่ปรึกษาสมัชชาคนจน ก่อน
> จะล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๔๗ และเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๖
> ธันวาคม ๒๕๕๗ รวมอายุ
> ๕๒ ปี
> ชีวิตของมด วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์
> ได้อุทิศเพื่อการต่อสู้เพื่อสิทธิของคนยากคนจน ความเป็น
> ธรรมในสังคม
> เป็นแบบอย่างของคนหนุ่มสาวที่มุ่งมั่นและใฝ่ฝันจะสรรค์สร้างสังคมที่ดีงามดังที่นิธิ
> เอียวศรีวงศ์ได้เขียนถึง มด วนิดา ไว้ว่า
> “มดเป็นตัวแทนของยุคสมัย ยุคสมัยที่คนหนุ่มสาวกล้ามองไปถึงดวงดาว
> และทุ่มเทชีวิตของตัวเพื่อ
> ฝ่าฟันไปหยิบดวงดาวนั้นมาเป็นสมบัติของปวงชน
> ไม่ได้มุ่งหวังว่าจะได้ครอบครองไว้เองในนามของปวง
> ชน ระแวดระวังกับการไกล่เกลี่ยกับสิ่งที่เป็นอุปสรรคหรือปฏิปักษ์
> จึงไม่ยอมหลงทางกับความสำเร็จ
> เฉพาะหน้าแทนเป้าหมายในระยะยาว
> แม้ต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีไปตามความจำเป็นของสถานการณ์ แต่
> ไม่มีวันทิ้งยุทธศาสตร์หรือเป้าหมายหลักไปแต่อย่างใด
> และยุทธศาสตร์หรือเป้าหมายหลักของมดคือ ‘
> ความเป็นธรรมในสังคม’ ซึ่งขาดแคลนในสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง”
>
> ครอบครัวตันติวิทยาพิทักษ์ และ
> เพื่อนพ้องน้องพี่ในแวดวงคนทำงานเพื่อสังคม ได้ร่วมกันจัดตั้ง “
> กองทุนวนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์
> เพื่อสนับสนุนการเรียกร้องความเป็นธรรมของคนจน” พร้อมๆ กับที่
> มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ประกาศมอบรางวัล “ฉันรักประชาชน”
> เพื่อสดุดีชีวิตของบุคคลที่เสียสละเพื่อ
> อุดมคติในการรับใช้ประชาชน
> ศิลปินดนตรี นักละครเวที คีตกวี และ
> นักคิดนักเขียนนักทำงานเพื่อสังคม จึงได้ร่วมกันจัด
> คอนเสิร์ตจากใจสู่ใจแด่มด วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ เป็นเสมือน “คำขานรับ”
> ว่าหนทางการเรียกร้อง
> ความเป็นธรรมเพื่อคนจนนั้นยังจะทอดยาวไปอีกไกล
> โดยมีผองเพื่อนกัลยาณมิตรร่วมอุดมคติ “ฉันรัก
> ประชาชน” เดินเคียงข้างไปด้วยกันอีกนานเท่านาน
>
> คอนเสิร์ตจากใจสู่ใจ แด่มด วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ “คำขานรับ”
> เนื่องในโอกาสมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มอบรางวัล “ฉันรักประชาชน”
>
> ผสมผสานการแสดงดนตรี บทกวี ละครเวที และปาฐกถา
> โดยความร่วมมือร่วมใจของเหล่าศิลปินนัก
> ดนตรี นักละครเวที คีตกวีซีไรต์ และ นักคิดนักเขียนนักทำงานเพื่อสังคม
> ในรูปแบบคอนเสิร์ตเพื่อเป็น
> “คำขานรับ” สานต่ออุดมคติ “ฉันรักประชาชน” ของมด วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์
>
> ๙ ฅนดนตรี
> หงา คาราวาน, หว่อง คาราวาน, หมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ, ธนิสร์
> ศรีกลิ่นดี, สุนทรี
> เวชานนท์, ปู พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์, โฮปแฟมมิลี่, คีตาญชลี,
> คณะนักร้องประสานเสียงสวนพลู
>
> ๖ ละครเวที
> พระจันทร์เสี้ยวการละคร, มะขามป้อม, ศูนย์ศิลปะการละครเพื่อการพัฒนา,
> กลุ่ม B-floor, กลุ่ม
> 8x8
>
> ๕ กวีซีไรต์
> เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, จิระนันท์ พิตรปรีชา, ศักดิ์สิริ มีสมสืบ, ไพวรินทร์
> ขาวงาม,
> ศิริวร แก้วกาญจน์
>
> ๓ พจนาลัย
> รสนา โตสิตระกูล, นิธิ เอียวศรีวงศ์ และ ตัวแทนสมัชชาคนจน
>
>
> กำหนดการแสดง
> วันอาทิตย์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๑ เวลา ๑๗.๐๐ น.
> ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
>
> บัตรราคา
> ๓๐๐, ๕๐๐, ๗๐๐ และ ๑,๐๐๐ บาท
>
> สถานที่จำหน่ายบัตร
> ร้านน้อง ท่าพระจันทร์, โรบินสัน สาขารัชดาภิเษก และ สีลม
>
> รายได้
> มอบให้กองทุนวนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์
> เพื่อสนับสนุนการเรียกร้องความเป็นธรรมของคนจน
>
> จัดโดย
> มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ โดมรวมใจ มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม และ
> โครงการกำแพง
> ประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์ กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

ถ้าเค้าคนนั้นที่คุณสงสัยอยู่มีลักษณะดังที่กล่าวมามากกว่า 80 % เค้าเป็นเกย์แน่ๆ

ในปัจจุบันนี้เกิดปัญหาต่างๆมากมาย โดยเฉพาะสำหรับ ชะนีที่หลงมาชอบเกย์ ทางสมาคมเห็นว่าเรื่องนี้เริ่มบานปลายจึงออกแถลงการณ์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อหมู่มวลสตรีเพศ ผู้ซึ่งได้รับคำจำกัดความว่าชะนี ทั้งชะนีน้อยหอยสังข์ จนถึงชะนีหนังหลังค่อม เพื่อเป็นประโยชน์ในกาลสืบไป ต่อไปในภายภาคหน้าจะได้ไม่หลับหูหลับตามาชอบไม้คนละป่าแต่มีฝาเหมียนกัลล์

ป.ล. ฝากข่าวบอกถึงเกย์ทั้งหลายทางสมาคมยินดีให้คำปรึกษาและเปิดรับสมาชิกใหม่เรื่อยๆ ไม่ต้องแอบแฝงหรือปกปิด สามารถติดต่อแจ้งความประสงค์ได้ที่ http://www.gaythaisociety.com/

- แต่งตัวดีเกินเหตุ หัวเข็มขัดตั้งในระนาบเดียวกับกระดุมและซิบกางเกง ความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 1 ซม.
- ใช้น้ำหอม
- มีผ้าเช็ดหน้าติดตัว
- ผูกเน็ตไทน์สวยไม่มีที่ติ
- ใช้กางเกงในสีขาว
- แต่งตัวเข้าเทรนตลอด การใช้เสื้อผ้าต้องเข้าชุดกัน และดูเป็นตัวของตัวเอง
- มีเครื่องสำอางติดตัวอย่างน้อย 1 ชิ้น เช่น ลิปมัน กระดาษซับหน้า โลชั่นกันแดด SPF 30
- เค้าจะเลือกทรงผมที่เข้ากับหน้าตาได้ดีที่สุด
- ตาจะกลิ้งกรอก เคลื่อนไหวได้มากกว่าผู้ชายธรรมดา
- พูดจาสุภาพ น่าเชื่อถือ เป็นนักพูดที่เก่ง เป็นนักฟังที่ดี
- มีคำราชาศัพท์หลุดออกมาบ้างเป็นครั้งคราว อย่าง อุ้ย, เก๋ไหมล่ะ, เลิศ
- การหยิบจับของ นิ้วก้อยที่ชี้ขึ้นจะบ่งบอกระดับความเป็นเกย์
- ไว้เล็บนิ้วก้อย
- ใส่แหวนนิ้วกลางข้างซ้าย (แสดงถึงความเข็มแข็งที่อ่อนแอ และต้องการความอบอุ่นจากใครบางคน)
- ชอบกัดเล็บ
- สังเกตดีๆ เขากันคิ้วหรือเปล่า
- เก่งภาษาต่างประเทศ
- มีความสามารถในการทำงานที่ใช้ความสร้างสรรค์
- ละเอียดอ่อน และอ่อนไหวง่าย
- ปากร้าย ด่าเจ็บ
- สามารถหาเรื่องขำๆให้คนอื่นหัวเราะได้เรื่อยๆ
- เกลียดเด็ก (รวมถึงสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น แมลงสาบ คนบ้า)
- ไม่ชอบเรื่องเซอร์ไพรซ์
- อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย
- ชอบทำตัวรังเกียจกระเทย เพื่อปกปิดความเป็นเกย์ในตัว
- ชอบกินอาหารเพื่อสุขภาพ
- ชอบออกกำลังกายบางชนิด อย่าง ว่ายน้ำ แอร์โรบิค วิ่ง วอลเล่ย์บอล แบท การเพาะกาย
- สมองขาดสมรรถภาพในด้านการเล็งระยะ เช่นการชูตบาส ยิงธนู ยิงปืน การจอดรถยนต์ในพื้นที่จำกัด (สูญเสียพื้นที่ในสมองส่วนนี้ไปให้ความอดทนและความละเอียดอ่อน)
- ชอบเพลงคลาสสิค เพลงแจ๊ส โซล
- สันโดษ ชอบความเป็นส่วนตัว
- ขี้เหงา
- ในห้องน้ำที่บ้านเขาจะมีมากกว่าสบู่ ยาสระผม ครีมนวด และยาสีฟัน
- ห้องนอนเรียบร้อยกว่าผู้ชายปกติ
- รักต้นไม้ และการปลูกต้นไม้

ถ้าเค้าคนนั้นที่คุณสงสัยอยู่มีลักษณะดังที่กล่าวมามากกว่า 80 % เค้าเป็นเกย์แน่ๆ

ด้วยความเป็นห่วง

10 คำถามที่ยากที่สุดที่คุณต้องพบ เมื่อสัมภาษณ์งาน

10 คำถามที่ยากที่สุดที่คุณต้องพบ เมื่อสัมภาษณ์งาน
คุณต้องค้นหาคำตอบอย่าง หนักเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง ภูมิหลังของบริษัท หน้าที่รับผิดชอบของงาน จุดอ่อน/จุดแข็ง รวมถึงเป้าหมายในการทำงานของคุณ

#10: ทำไมคุณถึงสนใจสมัครตำแหน่งนี้ ในบริษัทนี้
คำตอบที่ใช้ไม่ได้: "เพราะว่าผมต้องการเงินและ/หรือประสบการณ์" เพราะนี้จะหมายความว่าคุณจะใช้บริษัทนี้เป็นเหมือนสถานีผ่านทางไปสู่สิ่งที่ ดีกว่า สิ่งที่ต้องจดจำ: ทุกบริษัทต้องการพนักงานที่ทำงานในบริษัทเป็นระยะเวลายาวนาน
คำตอบที่ดี: ก่อนอื่นต้องตรวจสอบตัวคุณเองก่อนว่าคุณค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและงาน ที่คุณสมัครเป็นอย่างดี อธิบายว่าคุณเหมาะสมกับตำแหน่งที่สมัครอย่างไร รวมถึงโอกาสของงานนี้จะช่วยคุณพัฒนาทักษะและความสามารถได้อย่างไร พูดถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณ (หรือกิจกรรมที่ทำเมื่อเรียน) ที่คุณรักและมีความเชี่ยวชาญ


"(บริษัท ก) เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในเรื่อง (จุดแข็งของบริษัท) ผมต้องการทำงานกับบริษัทที่มีการทำงานแบบนี้ (งาน) นี้จะช่วยพัฒนาทักษะของผมในส่วน (ความสามารถและความสามารถพิเศษอื่นๆ)"

#9: คุณลาออกจากตำแหน่งงานปัจจุบันด้วยสาเหตุใด และคุณประทับใจอะไรกับบริษัทล่าสุดที่คุณทำงาน
ห้ามพูดถึงเจ้านายคนเก่าของคุณในทางที่ไม่ดี การยุ่งในสิ่งที่ไม่ถูกเรื่องและการลอบกัดจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวคุณเอง ทำให้ภาพของคุณดูไม่ดี ในทางกลับกัน ให้เน้นถึงสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากบริษัทก่อนหน้านี้ ให้เน้นว่าเพราะว่าคุณมองหาความท้าทายที่มากขึ้น และถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนตัวคุณเองแล้ว

#8: สิ่งที่คุณคาดหวังจากตำแหน่งงานนี้ ให้คุณเข้าใจถึงหน้าที่รับผิดชอบของงานก่อน เข้าใจถึงแรงกดดันที่เกิดขึ้น แล้วตอบว่าคุณต้องการเรียนรู้ความรับผิดชอบเหล่านี้และอยากจะเผชิญหน้ากับคว ามกดดันทั้งหลายที่มี

#7: ในห้าปีข้างหน้า คุณมองภาพตัวคุณเองว่าเป็นอย่างไร
สำหรับผู้จัดการหลายราย คำถามนี้เป็นคำถามที่ท้าทายอย่างมากว่าคุณจะตอบให้ตัวเองได้เกิดหรือตายไปเล ย! โปรดตรวจสอบว่าคุณเห็นความก้าวหน้าในอาชีพการงานที่ดี ก่อนที่จะเข้าสัมภาษณ์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณมีเป้าหมายที่คุณกำหนดไว้

#6: คุณคิดว่าคุณจะช่วยหน่วยงานนี้ได้ดีที่สุดที่จุดไหน
ให้คุณคิดให้ดีว่าคุณมีความเก่งในเรื่องใด จำไว้ว่าการอบรมและประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของคุณจะช่วยคุณได้ โดยคิดว่าจะนำประสบการณ์เหล่านั้นมาช่วยคุณให้มากที่สุดได้อย่างไร และนำไปใช้ให้ตรงกับความต้องการของบริษัท และกับงานที่คุณสมัครด้วย

#5: คุณจัดการกับคำวิจารณ์อย่างไร ทั้งจากเจ้านาย หรือจากเพื่อนร่วมงาน
จงยอมรับว่าคำวิจารณ์ล้วนทำให้เจ็บปวด แต่ก็เป็นครูที่ดีด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างที่ผ่านมาซึ่งคุณได้รับคำวิจารณ์ในทางลบ และแม้ว่าคุณจะเจ็บปวดกับคำวิจารณ์เหล่านั้น แต่คุณก็เผชิญหน้ากับมัน และนำคำวิจารณ์เหล่านั้นมาปรับปรุงตัวคุณเอง

#4: คุณจัดการกับความกดดันอย่างไร
ขอให้พูดตามตรง: ไม่มีใครเป็นคนวิเศษเลิศเลอ ข้อแรก ให้อธิบายประเภทของความกดดันที่คุณคุ้นเคยและสามารถจัดการกับมันได้โดยง่าย (เช่น กำหนดเวลาในการทำงาน) จากนั้นยอมรับว่าแรงกดดันประเภทนี้ทำให้คุณจัดการกับสถานการณ์ที่เลวร้ายได้ (เช่น คิดงานไม่ออกเพราะบรรยากาศในการทำงานไม่เอื้ออำนวย) แต่ให้พูดปิดประเด็นในแง่บวก โดยยกตัวอย่างวิธีการปรับปรุงจุดอ่อนเหล่านั้นของคุณ

#3: คุณคิดว่าคุณจะปรับปรุงตัวคุณเองได้อย่างไร ทั้งในแง่ของทักษะความสามารถ หรือ ในด้านอุปนิสัย
คำถามนี้แยกย่อยมาจากข้อ #2. ผู้สัมภาษณ์ต้องการความซื่อสัตย์ ไม่ใช่การโกหกพกลม มองตัวคุณเอง ดูว่าสิ่งไหนที่คุณต้องการปรับปรุง เป็นเรื่องทักษะด้านการสื่อสาร ความรอบรู้ หรือความสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม ให้คุณยอมรับในเรื่องจุดอ่อนของตัวคุณเอง และพูดปิดประเด็นว่าคุณกำลังปรับปรุงตัวคุณเองให้ดีขึ้น (เข้าอบรมเพิ่มเติมในโรงเรียน การสมัครเป็นสมาชิกชมรถทั่วๆ ไป เป็นต้น)

#2: สิ่งที่คุณสามารถทุ่มเทให้กับบริษัท ที่ผู้อื่นไม่สามารถทำได้
คำถามนี้เปิดโอกาสให้คุณแสดงคุณสมบัติเด่นของคุณเอง ในการสัมภาษณ์งาน คุณต้องขายตัวคุณเอง นำประสบการณ์ ความสามารถ และอุปนิสัยของคุณมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้คุณ เป็นคนที่บริษัทต้องการ คิดย้อนกลับไปถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาที่ไม่มีใครจะนึกถึง หรือเมื่อคุณมีไอเดียอันบรรเจิดซึ่งทำให้ทุกคนหลงใหลได้ปลื้มมาแล้ว

#1: คำถามที่นิยมถามมากที่สุด คือ ทำไมบริษัทเราจึงต้องจ้างคุณ
คำตอบที่ถูกต้องหนึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้ คือ "ผมจะช่วยให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น"

ตอบคำถาม 9 ข้อแรกให้ดี และคุณจะไม่ต้องลำบากเมื่อถึงคำถามในข้อนี้ เพราะคุณได้พิสูจน์คุณค่าของตัวคุณเองไว้ใน 9 ข้อแรกแล้ว!!

จากหนังสือ "Pocket Hiring Guide on How To Hire the Right Person"

โดย : SaTaN

The Ten Toughest Questions You Face In A Job Interview
Based on JobsDB.com's "Pocket Hiring Guide on How To Hire the Right Person"
written by corporate trainer Dr. Denis L. Cauvier
First published in JobsDB.com (Philippines)

Wrong approach:
"Because I need the money and/or the experience."

This implies that you'll just use the company as a way-station before moving on to Bigger Things. Remember: the boss is looking for an employee who's looking at the long-term.

Right approach:
Make sure you've done your research about the company and the job you're applying for. Explain how this job opportunity and company fit in with how you want to develop your skills and abilities. Relate them to past work experiences (or extra-curricular activities in school) that you loved and were good at.

"(Corporation A) is known for (cite company's strength). I've always wanted to work in that kind of setting. This (job) will help develop my skills in (abilities and talents)."

--------------------------------------------------------------------------------
NEVER badmouth your past boss. Nitpicking and backbiting will backfire and present you in a bad light. Instead, highlight what you've learned from your past company---then emphasize that, because you are looking for greater challenges, it's time to move on.

--------------------------------------------------------------------------------
Get an idea of the job responsibilities. Understand the pressures. Then say why you'd like to learn those responsibilities and face those pressures.

--------------------------------------------------------------------------------
For many managers, this is the make-it-or-break-it question. Make sure that you have a well-thought-out career path before going to the interview. It shows that you have focus and direction.
--------------------------------------------------------------------------------
Have a fair idea of what you're good at. Remember your training and past work experiences. Imagine how can use them to the fullest---and apply that to the demands of the company and job you're applying for.

--------------------------------------------------------------------------------
Admit that criticism hurts. But it can also be a good teacher. Give past instances where you've faced negative comments. And though bruised and smarting, you took a good look at them and improved yourself.

--------------------------------------------------------------------------------
Be honest: nobody's super-human. First, explain the kind of pressure that you're familiar with and can easily hurdle (e.g. deadlines). Then, admit the kind of stress-inducing situations that you have a hard time coping with (e.g. no creative atmosphere). But always end positively by giving examples on how you are improving these weak points.

--------------------------------------------------------------------------------
This is an offshoot of #2. The job interviewer appreciates honesty, not hot air. Take a good look at yourself. Where do you need to shape up: communication skills? business savviness? Social relations? In admitting your weaknesses, always end on the note that you are taking steps to beef them up (extra after-hour courses in school, membership in a civic club, etc.).

--------------------------------------------------------------------------------
This is the chance to show your unique edge. In a job interview, you're selling yourself, the combination of experiences, abilities, and character traits that make you up as a person. Think back on past experiences wherein you gave solutions that nobody else thought about. Or came up with brilliant, innovative ideas that spellbound everyone.
--------------------------------------------------------------------------------
The one correct answer to this is: "Because I will be an asset to your company."

Answer the first 9 questions right---and you won't have a hard time proving your worth when it comes to this part.

Credit Link: http://www.jobsdb.com.sg/SG/EN/v6HTML/Article/JS/133/133.htm

ตอนนี้มีเครื่องมือจับโกหกแบบที่ใช้เสียงอยู่เจ้านึงก็คือ Truster

ตอนนี้มีเครื่องมือจับโกหกแบบที่ใช้เสียงอยู่เจ้านึงก็คือ Truster ซึ่งจะใช้เสียงเป็นการระบุว่าเราโกหกหรือว่าเราพูดจริงหรือว่าเรากลัว ตอนนี้เห็นเพีงแค่ Website คือ:

http://www.truster.com/

เครื่องนึงตกประมาณ $107.00 รวมค่าส่ง (อาจจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการ Negotiate ครับ) แต่ยังไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรมากนัก ผมจะหาข้อมูลมาเพื่มในวันรุ่งขึ้นครับ

WL

อีกเจ้าครับ 005,
เป็นอีกเจ้าหนึ่งของ Voice lie detector ซึ่งจะโชว์ออกมาเป็นผล Apple ซึ่ง Apple ร่อยหรอมากเท่าไหร่แสดงว่าคนพูดโกหกมากเท่านั้น สามารถดูได้ตาม Website นี้ได้เลยครับ:

http://www.pimall.com/nais/e.pse.html

สนนราคาอยู่ที่ $295.00 แต่ถ้า On sale ก็อยู่ที่ $195.00 ไม่รวมค่าส่ง ยังไม่รู้รายละเอียดมากเท่าที่ควร ถ้า 005 สนใจจะลองสืบหาจากข้อมูลภายในซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ทำได้ครับ

WL

TV STU Studio / Present :

From: am-nook@hotmail.com
To: contact@fonjang.com
Subject: FW: รูปที่สตู นะค่ะ( สตูดิโอให้เช่าสถานที่ถ่ายทำ )
Date: Tue, 29 Jan 2008 14:36:28 +0700



เกี่ยวกับบริษัท

- ทีวีสตู บริการให้เช่าสถานที่ในการถ่ายทำหนัง โฆษณา ละคร ด้วยพื้นที่กว่า 2 ไร่ พื้นที่มีหลายมุมมองทั้งภายในและภายนอก บริเวณภายนอกอาคารต้นไม้จึงอยู่ในกระถางเพื่อให้คุณได้จัดรูปแบบได้ ภายในถูกตกแต่ง เป็นสำนักงานที่พร้อมให้เช่าถ่ายทำ ได้ทันที สามารถปรับเปลี่ยนได้หลายแบบ พร้อมห้อง บอส ห้องประชุม เซ็ทฉากได้ตามต้องการ ประตูเปลี่ยนได้ มีเฟอร์นิเจอร์ให้เลือก ม่านมู่ลี่มีให้เลือกหลายแบบ ผนังสามารถ เปลี่ยนสีได้ ด้วยฉากที่ถูกออกแบบมาเพื่อติดกับผิวผนัง ผลงานของคุณจึงมีเอกลักษณ์ กว่าใคร ซึ่งยัง

ติดรูปภาพได้ตามต้องการ ปรับเปลี่ยนเคลื่อนย้ายได้ตามต้องการ เพดานสูง 2.8 เมตร อีกด้านตกแต่งเป็นห้องนอนมีห้องน้ำภายใน โถงรับแขกภายในบ้าน ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนฉากได้หลากหลายรูปแบบตามที่คุณต้องการ ด้วยอัตราค่าเช่าสถานที่ถูกกว่า พร้อมด้วย prop ต่างๆ มากมาย



Studio



- แผนผังบริเวณสตูดิโอ

- office - ห้อง บอส ห้องประชุม ห้องรับรอง ต้อนรับ

1 ห้องนอน

2 โถงรับแขก บ้าน

3 ห้องเช่า

4 ห้องรับประทานอาหาร

5 ร้านอาหาร

6 ร็อบบี้ โรงแรม

- ผับ



Prop

6 โซฟา

7 โต๊ะ

8 เก้าอี้

9 แจกัน

10 โคมไฟ

11 รูปภาพ

12 ของตกแต่ง นาฬิกา

13 ของใช้ในสำนักงาน

14 ชุดอาหาร จาน แก้วน้ำ ชุดกาแฟ

อัตราค่าเช่า

15 ชม. / 15000 ลดเหลือ 12000

ถ่ายเกินเวลาคิด ชม.ละ 1000 บาท

ราคานี้รวมค่าตกแต่งสถานที่

ค่าเช่า prop ในกรณีถ่ายนอกสถานที่ 20% ของราคาสินค้า มัดจำเต็มราคา

โครงการสร้าง

12 ลิฟท์

13 รถไฟฟ้า

สิ่งอำนวยความสะดวก FACILITIES

15 ห้องแต่งตัว ซึ่ง ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ภายใน

16 สถานที่จอดรถสะดวก







สัญญาการเช่าสถานที่



ในการเช่าสถานที่บริษัท ทีวีสตู หากมีความเสียหายเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เช่า จะต้องรับผิดชอบความเสียหาย ตามมูลค่า ที่เกิดขึ้น

- หากต้องการเจาะผนัง หรือเคลื่อนย้ายสิ่งของที่อาจก่อให้เกิดความเสีย จะต้องแจ้งให้พนักงานรับทราบก่อน

-หากผู้เช่าต้องการใช้ส่วนใดเพิ่มเติมจากที่ได้ทำการแจ้งไว้ กรุณาแจ้งให้พนักงานทราบก่อน

- อณุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายสิ่งของภายในสตูดิโอได้แ ต่ห้ามนำออกนอกพื้นที่เด็ดขาด



ถ้าสนใจ รายละเอียด โทรมาสอบถามได้ค่ะ 081-2095969

สามารถเซ็ทฉากได้ สิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม

Footage

แผนก Post ค่ะ
วันนี้ได้รับโทรศัพท์จาก บริษัท TOTAL ENTERTAINMENT MARKETING มีความประสงค์ขอเสนอภาพ Footage เพื่อการทำโฆษณาค่ะ ติดต่อกับได้ที่คุณเสาวลักษณ์ 0-2664-3300-2

Note ค่ะ

ขอประเมินการทำงานของตัวเองแยกเป็น Strength และ Weakness

หลังจากที่ได้เข้ามาใช้ชีวิตนาถ่บัน Sky Exits แห่งนี้เป็นระยะเวลาร่วม 1 ปี 6 เดือน 8 วัน ขอประเมินการทำงานของตัวเองแยกเป็น Strength และ Weakness ดังต่อไปนี้:

Strength:

1. การหา Reference ในส่วนของหนัง Hollywood และหนังใหญ่โดยทั่วไปได้ 80 % (จากเต็ม 100)

2. การหา Reference ใส่วนหนังโฆษณา 75% (จากเต็ม 100)

3. การตัด Casting 80% (จากเต็ม 100)

4. การใช้เครื่องมือในการตัดต่อ 70% (จากเต็ม 100 เนื่องจากยังต้องเรียนรู้ระบบเชื่อมสายในห้อง AVID ทั้ง 2 อยู่)

5. เป็นผู้ฟังและพร้อมที่จะเสนอแนะและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นทุกเวลา

6. ยินดีรับฟังปัญหาของทุกคนและช่วยเหลือแก้ไขได้เท่าที่จะทำ (ยกเว้นเรื่องเงิน)

7. Support team ในเรื่องของการหา Reference และข้อมูลต่างๆที่น่าสนใจ

8. แนะนำและสอนระบบการทำงานให้กับพนักงานใหม่และยินดีที่จะสอนและหาคำตอบในคำถามต่างๆที่พนักงานใหม่ถาม

9. ใจเย็น (บางครั้ง) และไม่โกรธใคร

10. ยินดีรับรับคำติเตียนว่ากล่าวโดยไม่มีการน้อยเนื้อต่ำใจ

11. รักในงานที่ทำและทำทุกอย่างเพื่อให้งานออกมาให้ดีที่สุด

12. กล้าที่จะรับงานในส่วนที่ไม่มีประสพการณ์ในการทำมาก่อน



Weakness:

1. ขาดความละเอียดรอบคอบในเรื่องของการทำงานและลายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆน้อยที่ไม่สมควรลืม (แต่กลับลืม)

2. ไม่ละเอียดรอบคอบและไม่ double check ในงานแต่ละครั้งทำให้ต้องทำงานซ้ำและเสียเวลา

3. ขาดความเด็ดขาดในการทำงาน

4. พร้อมที่จะรั่วและรวนตลอดเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างฉุละหุเพราะสติสั้น

5. ขาดความเชื่อมั่นในการทำงานที่ไม่คุ้นเคย

6. ระบบการจัดการทำงานและบริหารของทีมงานบุคลากรยังไม่ดี

7. ระบบการบริหารเวลาของตัวเองยังไม่ลงตัว

8. การใช้ภาษาในการสื่อสารยังไม่ดี

9. ยังปรับตัวและวาง Position ตัวเองในสังคมไม่ถูก

10. ยังใช้ตัวเองไม่เป็น

11. การประสานงานและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ายังไม่ดีพอ

12. สมาธิสั้นและความจำสั้น

ข้อเสียยังมีอีกหลายอย่างแต่ไม่สามารถที่จะอธิบายเป็นภาษาเขียนได้เพราะการกลั่นกรองในเรื่องของภาษาไทยนั้นผมด้อยมากแต่สรุปคือปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตการทำงานของผมคือการไม่รอบคอบและขาดรายละเอียดปลีกย่อยที่สมควรทำแต่มองข้ามไป (เพราะไม่ถนัด) ครับ

ตอนสมัครงานผมได้กรอกใบสมัครไว้ว่าเคยเขียนหนังสือมา 1 เล่ม จนกระทั่งปัจจุบันนี้ยังไม่มีโอกาศได้ตีพิมพ์ แต่ตอนนี้ตั้งใจว่าจะขึ้น Block ให้สาธารณะชนได้อ่านเพราะไม่รู้ว่าจะตีพิมพ์เพื่ออะไรเพราะไม่คิดเอาเงินแล้ว แต่ผมอยากให้ 88 อ่านและจะรู้ว่าผมโรคจิตดีๆคนหนึ่งเหมือนกันครับ:

นี่คือครึ่งเดียวครับ เพราะทั้งหมดเกิน 200 กว่าหน้า อ่านเล่นๆง่ายภาษาบ้านๆไม่ซับซ้อน ถ้ามีเวลานะครับ



WLM ครับ

การยืมหนังจากห้อง VCD DVD

ถึง Team ครับ,

หลังจากที่ผมได้ตรวจแผ่นหนัง VCD ที่เป็น cartoon ต่างๆในห้อง Com 1 ทำให้ผมสังเกตุได้ว่าหนังของเราขาดและหาย ไปเยอะมาก ขอให้ผู้มีส่วนร่วมเกี่ยวของทุกแผนกช่วยเอามาคืนด้วย เพราะว่าหลังจากงาน DUMEX แล้วผมจะหาเวลาว่างปัดฝุ่นหนังทั้งหมดและจัด archive หรือระบบจัดหาใหม่โดยที่จะปรึกษา 88 ว่าจะทำอย่างไรในขั้นต่อไป เวลาในการจัดทำนั้นยังไม่แน่นอนเพราะหนังของเราเยอะมากจนไม่รู้ว่าจะเอาไว้ที่ไหนดี แต่ที่แน่ๆ ห้อง Com 1 หรือ Com 2 จะดีที่สุดครับ



จึงเรียนมาเพื่อทราบ
WL

PS: พึ่งขึ้นไปห้อง Post AF มาเห็นหนังที่วางอยู่ตั้งแต่ปีที่แล้วกองอยู่ เอากลับมาคืนด้วยโว้ย จาก WL พี่มึง

จดหมายลา Casting JK

ถึงทีมงานสกายทุกๆท่าน

JK มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับทุกท่าน ขอขอบคุณพี่ๆที่คอยให้คำแนะนำดีๆให้โอกาสให้ประสบการณ์ดีดี

ขอให้ทุกท่านพบแต่ความสุขความเจริญ สวัสดีครับ

JK

ขออนุญาตยืมภาพยนตร์โฆษณาเพื่อจัดฉายในนิทรรศการศิลปะ ณ หอศิลปมหาวิทยาลัยกรุงเทพ

BUG

หอศิลปมหาวิทยาลัยกรุงเทพ

Bangkok University Gallery

14 กันยายน 2550

เรื่อง ขออนุญาตยืมภาพยนตร์โฆษณาเพื่อจัดฉายในนิทรรศการศิลปะ ณ หอศิลปมหาวิทยาลัยกรุงเทพ

เรียน คุณสุวิพันธุ์ ภรณวลัย บริษัท Sky Exits Film Production Houseจำกัด



ด้วยหอศิลปมหาวิทยาลัยกรุงเทพ กำหนดจัดนิทรรศการศิลปะ From Message to Media- มองสารผ่านสื่อ: ทางเลือกในศิลปะไทยร่วมสมัย คือการสำรวจความหมายของ media art (สาขาทัศนศิลป์) ในประเทศไทยที่เกิดขึ้นในช่วงสองทศวรรษ (ปี พ.ศ. 2528 – 2548) โดยนิทรรศการครั้งนี้จะนำเสนอ media arts ในรูปแบบทั้ง video art, video installation, digital art รวมถึง film, TV commercial และ music video เพื่อจุดมุ่งหมายของการพยายามเรียนรู้ว่าศิลปินในแต่ละช่วงยุคสมัยพัฒนาและสร้างสรรค์ผลงานผ่านสื่อเทคนิคและเทคโนโลยีอย่างไร ในฐานะนิทรรศการเปิดหอศิลปฯ บนพื้นที่ใหม่อย่างเป็นทางการ โดย มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 22 กันยายน – 10 พฤศจิกายน 2550 และมีพิธีเปิดแถลงข่าวในวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 เวลา 16.00 น. ณ อาคาร 7 หอศิลปและวิทยาลัยนานาชาติ วิทยาเขตกล้วยน้ำไท



ในการนี้หอศิลปฯ ใคร่ขออนุญาตยืมภาพยนตร์จากบริษัทของท่าน จำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ 1. โครงการราชพฤกษ์ 2. ลูกอม โลลี่ Loly Blue Berry 3. ห้างโซโก้ SOGO Choreography Chorus เพื่อจัดฉายในฐานะนิทรรศการพิเศษ ในช่วงระยะจัดแสดงนิทรรศการศิลปะตามที่กล่าวไว้เบื้องต้น เพื่อให้ความรู้แก่นักศึกษาและบุคคลทั่วไป ในด้านพัฒนาการของสื่อ เทคนิค การสร้างและผลิตภาพยนตร์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์มีเดียในประเทศไทย

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา และขอขอบพระคุณ มา ณ โอกาสนี้

ขอแสดงความนับถือ

(นายคธา แสงแข)

หัวหน้าโครงการหอศิลปมหาวิทยาลัยกรุงเทพ

แนวทางแก้ปัญหาในการทำงานของแผนกกล้อง

แนวทางแก้ปัญหาในการทำงานของแผนกกล้องขั้นเบื้องต้น

1.เริ่มจากการตั้ง สติ สมาธิ ให้ดีก่อนทำงานทั้งทีม

2.ทำความเข้าใจ เรื่องราวของหนังที่จะถ่ายอย่างละเอียด

3.เริ่มงานหน้ากอง จากจุดถ่ายทำตรงไหน ตั้งจุดผู้กำกับตรงไหน

มอนิเตอร์ ตั้งสี ตั้งเฟรม เท่ากันทั้งหมด

4.ทำเวลาในการเปลี่ยนเลนส์ โหลดฟิล์ม ย้ายกล้อง ย้ายกองให้น้อยลง(ว่างทำการซ้อม)

5.พูดคุยสื่อสารประสานงานกับผู้ที่จะสั่งงานอย่างมีสมาธิ มีทีมกล้อง 1 คนคอยทำหน้าที่

*5 ข้อเร่งด่วนของแผนกกล้องข้างต้นนี้ เริ่มปฏิบัติ วันจันทร์เป็นต้นไป

ส่วนแนวทางต่อไปจะเริ่มปฏิบัติจาก 5 ข้อ นี้ให้ดีก่อน

CAMERA DEPART

GOOD MORNING VIETNAM

บันทึกจากเวียดนามตอนที่ 1 (GOOD MORNING VIETNAM)
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E4337051/E4337051.htmlบันทึกจากเวียดนามตอนที่ 2 (หลง "อ้าวหญ่าย" ในเมืองเว้) http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E4339086/E4339086.html บันทึกจากเวียดนามตอนที่ 2.5 (The Million Ways to "Hue" Part II) http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E4340705/E4340705.html บันทึกจากเวียดนามตอนที่ 3 (ฮอยอัน... ฉันรักเธอ) http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E4341741/E4341741.html บันทึกจากเวียดนามตอนที่ 4 (Lost in Danang City) http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E4344783/E4344783.html บันทึกจากเวียดนามตอนที่ 5 (Halong Bay in a rainy day ทุกทีสิน่า) http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E4360878/E4360878.html บันทึกจากเวียดนามตอนที่ 6 (สุดท้ายที่ฮานอย) http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E4375213/E4375213.html

คอมพิวเตอร์เวลาที่มันปิดเครื่องไปแล้วหรือว่าเจ้าของเครื่องกลับไปแล้ว

พี่ๆทั้งหลาย คอมพิวเตอร์เวลาที่มันปิดเครื่องไปแล้วหรือว่าเจ้าของเครื่องกลับไปแล้ว

จะมาเปิดเครื่องใช้.... ใช้ได้ ...ไม่ได้ว่าไร เต็มที่เพราะว่ามันไม่ใช่ของส่วนตัว

แต่ตอนใช้เสร็จแล้ว รบกวนกรุณาช่วยปิดเครื่องให้ด้วยนะคะ

ยามเค้าเดินตรวจทั้งวันทั้งคืน...

เห็นหลายครั้งแล้วที่ตอนเช้ามาเห็นเครื่องเปิดอยู่ ทั้งๆที่ตอนกลับก็ปิดเครื่องไปแล้ว (ยืนดูจนจอดับมืดดดด...ดด.ด...สนิท)

...แปลกใจจริงๆ งงจังเลย...(นึกถึงเพลงจอนนี่ อัลวา)

Guess? Who is That GirL/Man…?!

การเปลี่ยนหรือคืน สินค้าทำได้แค่ไหน ( นักช็อปควรรู้ )

การเปลี่ยนหรือคืน สินค้าทำได้แค่ไหน ( นักช็อปควรรู้ )

เมื่อเดือนกันยายน 2005 ที่ผ่านมาบรรดาห้างสรรพสินค้าและดิสเคาน์สโตร์ รวมถึงคอนวีเนียนสโตร์หรือร้านสะดวกซื้อได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือกำหนดมาตรฐานการรับประกัน คุณภาพสินค้าและบริการร่วมกับกรมการค้าภายในเพื่อเป็นการยืนยันว่า สินค้าที่มีการจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าได้มาตรฐานและรับประกันคุณภาพของสินค้า ซึ่งรายละเอียดการรับประกันสินค้าของแต่ละห้างเป็นอย่างไร เชิญตรวจสอบกันได้ในบทความนี้เลยนะคะ

ไม่พอใจสินค้า เรายินดีคืนเงิน นักช้อปโดยทั่วไปมักเข้าใจว่าการเปลี่ยนหรือคืนสินค้านั้นจะทำได้เฉพาะ กับสินค้าที่ชำรุดบกพร่องหรือผลิตมาไม่ได้มาตรฐานเท่านั้น แต่ความจริงแล้วการเปลี่ยนหรือคืนสินค้านั้นทำได้แม้กระทั่งสินค้านั้นไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด เพียงแค่คุณไม่ชอบใจมันเอาดื้อๆ คุณก็สามารถเปลี่ยนหรือเอาเงินคืนได้ ในห้างสรรพสินค้าบางแห่งคุณอาจจะเคยเห็นป้ายแบบนี้บ้างแล้ว " ไม่พอใจสินค้า เรายินดีคืนเงิน " ซึ่งหมายความว่า สำหรับสินค้าที่คุณจ่ายเงินซื้อนำกลับไปถึงบ้านแล้ว แม้ว่าตัวสินค้ามันจะไม่มีความผิดอะไร ไม่มีความเสียหายชำรุดบกพร่อง เพียงแต่แค่คุณเกิดความรู้สึกไม่พอใจสีสันหรือรูปทรงของสินค้า ( แม้ว่าตอนที่อยู่ในห้างคุณจะรู้สึกพอใจเอามากๆก็ตาม ) คุณมีสิทธิ์ขอคืนสินค้าเปลี่ยนเป็นเงินคืนได้
แล้วคุณเคยลองพิสูจน์ข้อความเช่นว่านั้นหรือไม่ว่าทำได้จริงหรือเปล่า วารสารฉลาดซื้อได้ทดลองส่งอาสาสมัครไปซื้อสินค้าราคาปกติตามร้านค้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของห้างสรรพสินค้าและดิสเคาน์โตร์ทั้งหมด 7 แห่ง เป็นห้างสรรพสินค้า 4 แห่ง คือ

1. ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาลาดพร้าว

2. ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ สาขางามวงศ์วาน

3. ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง สาขาธนบุรี

4. ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขารัชดาภิเษก



และเป็นดิสเคาน์สโตร์ 3 แห่ง คือ

1. คาร์ฟูร์ สาขาบางปะกอก

2. บิ๊กซี สาขาสุขสวัสดิ์ และ

3. เทสโก โลตัส สาขางามวงศ์วาน



โดยมีเงื่อนไขให้กับอาสาสมัครว่าให้ซื้อสินค้าที่ขายในราคาปกติ ขายโดยร้านหรือบูธที่เป็นส่วนของห้างสรรพสินค้า ( ไม่ใช่ร้านที่เข้ามาเช่าพื้นที่ ) และเมื่อซื้อสินค้ามาแล้ว 1-2 วันให้นำสินค้าไปคืน โดยขอคืนเงินที่จ่ายไปทั้งหมดไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนสินค้าแทน โดยมีข้ออ้างว่าไม่พอใจสินค้าด้วยสาเหตุที่ไม่ใช่ความชำรุดบกพร่องของตัว สินค้า เช่น ไม่ชอบสีสันหรือรูปทรงที่เลือกไป เป็นต้น

ผลการสำรวจมาตรการการรับเปลี่ยนหรือคืนสินค้าเพื่อความพอใจของลูกค้าผลที่ได้คือ ดิสเคาน์สโตร์ทั้ง 3 แห่ง ยอมคืนเงินให้กับลูกค้า โดยคาร์ฟูร์และบิ๊กซีขอจดชื่อที่อยู่ของลูกค้าไว้ ในขณะที่ เทสโก โลตัส ยอมคืนเงินให้โดยไม่มีการจดข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าแต่อย่างใด

สำหรับกลุ่มห้างสรรพสินค้าพบว่า



* ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง

เมื่ออาสาสมัครขอคืนสินค้ากับพนักงานขาย พนักงานขาย ไม่ยอมให้คืนสินค้าแต่เสนอให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าอื่นเปลี่ยนแทน แต่เมื่อลูกค้ายังยืนยันต้องการคืนสินค้าเหมือนเดิม พนักงานขายก็ยังไม่ยอมคืนให้ ท้ายที่สุดอาสาสมัครได้ไปติดต่อที่จุดบริการลูกค้าของห้างสรรพสินค้าจึงได้รับเงินคืน



* ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน

เมื่ออาสาสมัครขอคืนสินค้า พนักงานขายเสนอให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าอื่นเปลี่ยนแทน แต่เมื่อลูกค้ายืนยันขอคืนเงินเหมือนเดิมพนักงานขายบอกให้ไปติดต่อที่แคชเชียร์ของแผนกสินค้านั้น ซึ่งทางแคชเชียร์แจ้งว่าไม่สามารถคืนเป็นเงินได้ ( ทั้งๆ ที่มีป้ายเขียนไว้ว่า รับประกันความพอใจ เปลี่ยนคืนสินค้าสำเร็จได้ภายใน 5-10 นาที แสดงไว้อย่างชัดเจนที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ ) และได้ออกเป็นใบคูปองใช้แลกซื้อสินค้าในห้างแทนมีอายุ 30 วัน จนท้ายที่สุดฉลาดซื้อต้องโทรไปแจ้งว่าเรากำลังทดสอบมาตรการการรับเปลี่ยนหรือคืนสินค้าของห้างกับผู้บริหารระดับสูง ทางห้างจึงคืนเงินให้ พร้อมกับคำขออภัยและแจ้งว่าจะมีมาตรการลงโทษกับการประพฤติตัวที่ไม่เหมาะสม ของพนักงาน แคชเชียร์และพนักงานขาย



* ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์

เมื่ออาสาสมัครขอคืนสินค้า พนักงานขายเสนอให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าอื่นเปลี่ยนแทน แต่เมื่อลูกค้ายืนยันขอคืนเงินเหมือนเดิมพนักงานขายและแคชเชียร์ปฏิเสธ ซึ่งทางแคชเชียร์แจ้งว่าไม่สามารถคืนเป็นเงินได้และได้ออกเป็นใบคูปองใช้แลกซื้อสินค้าในห้างแทน แต่มีระยะเวลาเพียง 1 วันเท่านั้น จนท้ายที่สุดฉลาดซื้อต้องโทรไปแจ้งว่าห้างกำลังถูกทดสอบมาตรการการรับเปลี่ยนหรือคืนสินค้า กับผู้บริหารระดับสูง ทางห้างจึงคืนเงินให้ พร้อมกับคำขออภัยและแจ้งว่าจะมีมาตรการลง โทษกับการประพฤติตัวที่ไม่เหมาะสมของพนักงานขาย



* ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล

เมื่ออาสาสมัครขอคืนสินค้า พนักงานขายเสนอให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าอื่นเปลี่ยนแทน แต่เมื่อลูกค้ายืนยันขอคืนเงินเหมือนเดิมพนักงานขายบอกให้ไปติดต่อที่แคชเชียร์ของแผนกสินค้านั้น ซึ่งทางแคชเชียร์แจ้งว่าไม่สามารถให้คืนเป็นเงินได้ จนท้ายที่สุดฉลาดซื้อต้องโทรไปแจ้งว่าเรากำลังทดสอบมาตรการการรับเปลี่ยนหรือคืนสินค้าของห้างกับผู้บริหารระดับสูง ทางห้างจึงคืนเงินให้ พร้อมกับคำขออภัยและแจ้งว่าจะมีมาตรการลงโทษกับการประพฤติตัวที่ไม่เหมาะสมของพนักงานขาย และแจ้งว่าหากลูกค้าต้องการเปลี่ยนหรือคืนสินค้าให้ไปติดต่อที่จุดบริการลูกค้า ( ซึ่งอยู่ที่ชั้นสอง คนละชั้นกับจุดที่มีปัญหา ) จะดีที่สุด



จะเห็นได้ว่าแม้จะมีข้อตกลงดังกล่าว ( ซึ่งตามจริงหลายๆ ห้างก็มีข้อตกลงการเปลี่ยนหรือคืนสินค้ามาก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว ) แต่ในทางปฏิบัติคุณอาจพบปัญหาได้ โดยเฉพาะกับพนักงานขายของห้างสรรพสินค้าที่สนใจเปอร์เซ็นต์ยอดขายมากกว่าหัวใจในการบริการลูกค้า ไม่สนใจที่จะคืนเงินให้กับลูกค้า ทั้งๆ ที่ลูกค้าได้แสดงเจตน์จำนงค์อย่างชัดเจนแล้ว ซึ่งหากผู้บริหารของกลุ่มห้างสรรพสินค้าไม่มีการปรับตัว เช่น ไม่มีการเข้มงวดกวดขันอบรมพนักงานขายที่ดีพอหรือไม่มีจุดบริการลูกค้าที่เห็นเด่นชัดทุกชั้น ทุกแผนก ก็อาจกลายเป็นจุดอ่อนของห้างสรรพสินค้าที่ทำให้ลูกค้าเข็ดขยาดจนต้องหันไปใช้บริการกับกลุ่มดิสเคาน์โตร์ใหญ่ๆ ได้ง่าย สำหรับผู้บริโภคที่มีปัญหาในการขอเปลี่ยนหรือขอคืนสินค้าให้ติดต่อกับฝ่ายประชาสัมพันธ์หรือผู้บริหารระดับสูงของห้างทันที



กรณีสินค้าชำรุดบกพร่องเปลี่ยนหรือคืนได้เพียงแค่วันที่ห้างกำหนดจริงหรือ ?



ความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่อง

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม . 472 ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดีประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องนั้นมีอยู่ ม .473 ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ



(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้ เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

(2) ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบและผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยไม่อิดเอื้อน

(3) ถ้าทรัพย์นั้นได้ขายทอดตลาด ม . 474 ในข้อรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่อง



หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับคืนสินค้าหรือเปลี่ยนสินค้าใหม่ของห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ นั้น ในทางกฎหมาย มีลักษณะเป็นคำมั่น ซึ่งหากทางห้างไม่ปฏิบัติตามคำมั่นที่ให้ไว้กับผู้บริโภคจะมีผลเป็นการผิดสัญญา อย่างไรก็ตาม หากสินค้าชำรุดบกพร่องทางห้างจะต้องรับผิดชอบทุกกรณีตามกฎหมาย ( มีอายุความ 1 ปี ) โดยไม่เกี่ยวกับเงื่อนไขการรับคืนสินค้าซึ่งห้างเป็นผู้กำหนดขึ้นส่วนจะรับผิดชอบในลักษณะใดนั้น ก็ต้องพิจารณาตามความบกพร่องที่เกิดขึ้น เช่น การคืนเงิน การเปลี่ยน

ผู้ประสบภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉินดังกล่าวนี้ เพียงกดโทรศัพท์ไปที่ หมายเลข 1669

เมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉิน นอกจากช่วยเหลือตนเองแล้ว

ขณะนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
ได้จัดระบบช่วยเหลือผู้ประสบภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉินดังกล่าวนี้
เพียงกดโทรศัพท์ไปที่ หมายเลข 1669
จะมีคำแนะนำให้ และหากจำเป็นจะมีหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉิน

ไปช่วยเหลือคุณถึงที่เกิดเหตุ (ฟรี)

ซึ่งขณะนี้เราจัดได้เกือบทุกที่ทั่วประเทศไทย ตลอด๒๔ ชั่วโมง

ทั้งวันทำการและวันหยุดแล้ว

ป่วยฉุกเฉินโทรหมายเลข 1669

ส่งต่อไปให้ทราบทั่วๆ กันด้วยครับ จักเป็นพระคุณยิ่ง
นพ. สุรจิต สุนทรธรรม
ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

เรื่องเล่าจากในวัง

เรื่องเล่าจากในวัง....แล้วคุณจะรัก "ในหลวง"
>>> ==================================
>>>
>>> ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริง
>>> เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก
>>> เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ
>>> ได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนใน
>>> ตลาดสด
>>> และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา
>>> ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ"
>>> แม่ค้าตอบว่า "ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท
>>> และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ"
>>> เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
>>> ----------------------------------------------------------
>>> เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์
>>> ของฟ้าหญิงองค์เล็ก
>>> ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง
>>> ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย
>>> ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์ นางสนองพระโอฐก็ งง...งง
>>> ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า
>>> แต่ พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ
>>> ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์
>>> แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ... ขนลุกเลย
>>> (ทรงตัสกับในหลวงท่านอยู่นั่นเอง)
>>> ------------------------------------------------------------------------------------
>>>
>>>
>>> อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง
>>> ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูล
>>> ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน
>>> เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้
>>> จึงมีคำกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า
>>> บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า.."
>>> มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน
>>> ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว.
>>> พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า
>>> "มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป
>>> ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย
>>> และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"
>>> เรื่องนี้ ดร.สุเมธ
>>>
>>> เล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
>>> ----------------------------------------------------------
>>> เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา
>>> มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น
>>> เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาต
>>>
>>> นำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ
>>> ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า
>>> "ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"
>>> ---------------------------------------
>>> เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง
>>> ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน
>>> และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้า
>>> ทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน
>>>
>>> ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงาน
>>> ว่า "ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม
>>> ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช
>>> ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต
>>> กราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"
>>> ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช
>>> ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต
>>> กราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"
>>> เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล
>>> อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า
>>> "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."
>>>
>>> ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย
>>> เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
>>> ---------------------------------------
>>> มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตร
>>> ให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
>>> ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ
>>> แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้
>>> ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า
>>> "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"
>>> ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับอธิการบดีว่า
>>> "เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"
>>> ---------------------------------------
>>> เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า
>>> ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร
>>>
>>> มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว
>>> แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า
>>> "ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"
>>> ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"
>>> ---------------------------------------
>>>
>>> วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด
>>> ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย
>>> พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท
>>> ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท
>>> แล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง
>>> แล้วก็พูดว่า ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง
>>> แล้วก็พูดว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้
>>> อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ
>>> มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร
>>> แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่
>>> กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่
>>> แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น
>>> ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า
>>> "เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ
>>> ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"
>>> --------------------------------------------------
>>> ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว
>>> พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน
>>> มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา
>>>
>>> คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์
>>> ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ -
>>> ทรง...อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ"
>>> พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า
>>> "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง"
>>> แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า
>>> หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ
>>> ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ
>>> ---------------------------------------
>>> เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า
>>> มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จ
>>> พระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า
>>> มีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน
>>> ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว
>>> ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า
>>> "เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"
>>> และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ
>>> ไฟดับไปชั่วขณะ...
>>> ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป
>>> พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว
>>> ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท
>>> ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง
>>> เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก
>>> ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม
>>>
>>> ********
>>> ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
>>>
>>> -----------------------------ถ้ารักท่านก็ส่งไปเรื่อยๆนะ

สูตรเกมส์ Emperor

Emperor: Rise of the Middle Kingdom(PC)



Cheat Codes

While playing, press Ctrl+Alt+C and enter the codes.



Dealian Treasury - Get 5000 cash

Gimme Goods - Get free goods in warehouse/mill

IgnoreDesire - Houses evolve without needing desireability

I win again - Win mission at end of month

Uncle Sam - Tax collectors change into Uncle Sam

Glub Glub - Flood

Great Heat - Drought

Shake Shake - Earthquake

Black Death - Kills all military units

Kill Enemy Units - Kills all enemy military units

Kill Loan Units - Kills all loaned military units

CeramicsForElite - Every Elite house gets 100 units of ceramics

FunForElite - Elite houses evolve without entertainment

HempForElite - Every Elite house gets 100 units of hemp

SilkForElite - Every Elite house gets 100 units of silk

TeaForElite - Every Elite house gets 100 units of tea

WaresForElite - Every Elite house gets 100 units of bronzeware/lacquerware

Bad Wallpaper - All buildings become inauspicious

Chinese Flu - One house becomes infected with disease

SpawnMugger - One mugger is spawned

SpawnBandit - One bandit is spawned


URL วิธีเล่น เกมส์ Emperor คับ

http://www.managerroom.com/forums/forum_posts.asp?TID=546

อ๊อบ.

Wednesday 27 August 2008

The People's Alliance for Democracy (PAD) : 27-08-2008 : Liberty Equality Fraternity

The People's Alliance for Democracy (PAD)
Liberty Equality Fraternity

27/08/2008

Protesters to be evicted from Government House before sunset



Government Spokesman Wichianchote Sukchotrat said Wednesday that protesters would be removed from Government House compound before sunset.

He was speaking to reporters at the Supreme Command at 5 pm.

He said thousands of 191 commando police and border patrol police would be deployed to force the protesters out of Government House.

He said police would first try to talk to the protesters to convince them to voluntarily leave the compound or else they would be forced out.

The spokesman said the protest inside Government House needs to be ended Wednesday as the government would have to use the place for ceremony of From Mother Day to Father Day.

He said His Royal Highness Crown Prince Maha Vajiralongkorn will chair the ceremony inside Government House on Saturday to grant royal flags for government agencies to use as part of the celebrations.

The spokesman said the authorities need to prepare the place two days before the ceremony on Saturday.

The Nation

เสรีภาพ เสมอภาพ​ ภารดรภาพ​

Monday 25 August 2008

Oriental Hotel Management : Bangkok : Slide Show

Why don't you work for a change?
Kurt Wachtveitl,
70, 40-years at The Orientalby Andreas Augustin
Pictures by Michelle Chaplow and Pairoj Kuljaratsutee

Last weekend, Kurt Wachtveitl, the world-renowned general manager of The Oriental, Bangkok, celebrated his 40th anniversary at the hotel - four faithful and passionate decades at the 130-year-old Grande Dame of Thailand. The occasion was feted amidst colourful fanfare, auspiciously coinciding with Thailand's most beautiful and celebrated festival - Loy Krathong. Born on 31 July 1937, it was ten years after the traumatic World War 2 that he was called for service in the newly formed German army. He had little ambition to serve under 'the most stupid of instructors one can imagine'. He had a different mind set: 'I wanted to do something sensible, not to be trained to crawl around in the mud. I heard about Lausanne's hotel management school. My chance to escape the compulsory military service in Germany was to spend three years abroad. Hence I chose hotel-business as my career.'In 1961, he graduated. Now his artistic senses drew him to Rome, where he read History of Art and Literature. In Spain he read Philosophy. However, hospitality industry got him back and he started his training tours. Treadmills included the greatest names of the trade: Trois Couronnes, Vevey; Beau-Rivage Palace, Lausanne (where he met his wife Penny); Suvretta Haus, St Moritz; and the Park Lane Hilton, London.In 1967, Giorgio Berlingieri, the owner of a certain Nipa Lodge, a beach hotel in Thailand, looked for an able lieutenant to run a hotel for him. A hotel he just had purchased. It was called The Oriental in Bangkok. He had this tall slim German managing his Nipa Lodge in Pattaya. In November 1967, Berlingieri said to this man: ‘Why don’t you go to Bangkok and do some work for a change?’The tall, slim man was Kurt Wachtveitl, an individualist from head to toe, accepted the offer at once. The young and motivated Kurt Wachtveitl and his elegant wife Penny teamed up, giving the hotel an irresistible driving force that would lead it to international renown. Kurt Wachtveitl looks back: ‘Berlingieri was extremely critical about the hotel’s restaurants. So his first step was to change the Normandie Grill. “People always judge the hotel by its restaurants,” he said. Of course he was right. Although the guest-rooms were a little outmoded at this time, by January 1969, people were flocking to the little inn by the river of the kings.’

Only Long Term Strategies pay off'We were - and more than ever still are - thinking on a very, very long term base!' Wachtveitl reveals parts of the secret of his success: 'To open, say, a restaurant, and to expect an immediate return on investment means that you must be full from day one. The handicap is well-known: you make mistakes, you get complaints, you are empty after two months. We do things totally differently. We think in years. We know that we must not make any mistakes. That we want to be there in two, three years, that we want our guest to say "This is flawless, it is fantastic what you have given us!". Only then we have succeeded.'Khun Kurt, as he is respectfully addressed by his Thai staff (he has 1200), recalls: 'When I started, at the Beau Rivage or at the Suvretta House, our key staff knew everything about all their guests. They addressed everybody by name, knew what the guest preferred, his habits. Today I have sometimes over 600 guests in the house. We need to address our guests by name. We have individuals who are coming here for over 30 years. We have the same owners for over 30 years. We have staff who are here longer than I am - and that's 40 years now. You see: when I say "we think in long terms", I mean that sort of "long" terms.''A gust told me yesterday, that what's so special at The Oriental is the attention to the individual.' That is a great compliment. It hits the nail on the head. Attention to detail is of course paramount and the basic condition. But here we look after the individual. Wherever the guest is, at one of our nine restaurants, in one of our 400 rooms, at the pool, at the spa; he has the impression he is our only guest, our eyes are only on him.'Wachveitl addresses one of the most frequent mistakes of today's hoteliers (managers): 'Sometimes I feel hoteliers are hiding in their offices to avoid guest contact. They are afraid of complaints. But how do I get my feedback from my guest if I don't talk to them. I always listen to my guests. I learn from them. They tell me what they like. They tell me what they dislike. And they tell me what they would like. I got most of my ideas from them.'Kurt Wachtveitl has finally become the most legendary and longest serving hotel manager in our fast-paced hospitality industry. He is a man with a vision. And, in case you ask: he is not going to retire in the foreseeable future: 'Not in 2008!' he laughes - and off he runs, to attend a press conference with some 300 reporters for a wedding of tennis star Paradon Srichaphan and his trophy woman, the former Miss Universe Natalie Glebova. Business as usual. At The Oriental, on 29 November 2007.


'How do you achieve this supreme quality here at The Oriental - countless times the number one in the world?" I asked Wachtveitl, once upon a time, waiting for the extraordinary explanation.Smiling about the continued success of The Oriental "Herr Hoteldirektor" replied.'It's very simple,’ he explained. ‘We tell our staff exactly, what to do.' 'And that's all?' I asked, a bit disappointed.Smiling, he paused before adding: 'And we tell them what again week in, week out'."

The secret of his success also lies in the dedication of his long-serving staff - here, for example, Ankana Kalantananda. She was the first ever Thai woman to enter the hotel business. She trained in Paris. Khun Ankana, The Oriental’s Guest Relations Consultant, had worked for five Oriental general managers until, 40 years ago, number 6 entered the hotel. He is still there.Read the full story, how Wachtveitl got his job, back in 1967/8, while working at a lodge in Pattaya.Andreas Augustin is the author of the history and story of THE ORIENTAL BANGKOK, a book in the series THE MOST FAMOUS HOTELS IN THE WORLD.

Credit Link: http://www.famoushotels.org/article/717

Slide Show;

Oriental Hotel Management : Bangkok